แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อได้ความว่าขณะยื่นคำฟ้องที่ดินและตึกแถวพิพาทตามสัญญาเช่า ให้จำเลยเช่าเดือนละ 1,000 บาท ดังนั้นที่ดินและตึกแถวพิพาทที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยจึงมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามคู่ความมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาเช่าตึกแถวเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดา และโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงเดือนละ 1,000 บาทนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ก็เป็นการไม่ชอบถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 คดีฟ้องขับไล่โจทก์ฎีกาว่าได้รับความเสียหายเดือนละ50,000 บาท เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 8910 และ 8911 ซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างเป็นตึกแถวที่ซื้อมาจากเจ้าของเดิม มีจำเลยเป็นผู้เช่าตึกแถวดังกล่าวจากเจ้าของเดิมมีกำหนดเวลา 3 ปี เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออกจากตึกแถวพิพาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยขนทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทพร้อมชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 300,000 บาท และในอัตราเดือนละ100,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ตึกแถวพิพาทจำเลยเช่ามาจากนางพเยาว์สุภนันตฤกษ์ ในอัตราเดือนละ 1,000 บาท และตกลงกันว่าให้จำเลยต่อเติมตึกแถวพิพาทและปรับปรุงได้ทั้งหมดโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเองอันเป็นสัญญาเช่าต่างตอบแทน นางพเยาว์โอนขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้โจทก์ โจทก์ต้องรับผลดังกล่าวต่อจำเลยด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในอัตราเดือนละ20,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและตึกแถวพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ100,000 บาท นับจากวันสิ้นสุดสัญญาเช่าจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินและตึกแถวพิพาทก็ตาม แต่โจทก์ก็มิได้เรียกร้องค่าเสียหายนี้มาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น หากแต่เรียกร้องมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและตึกแถวพิพาท ทั้งศาลชั้นต้นก็พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ20,000 บาท เมื่อคำนวณถึงวันฟ้อง แล้วเป็นค่าเสียหายเพียง14,666 บาท เท่านั้น เมื่อได้ความว่าขณะยื่นคำฟ้องที่ดินและตึกแถวพิพาทตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.4 ให้จำเลยเช่าเดือนละ1,000 บาท ดังนั้นที่ดินและตึกแถวพิพาทที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยจึงมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาทจึงเป็นคดีที่ต้องห้ามคู่ความมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่าสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทเอกสารหมาย จ.4เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดา โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยเพราะเจ้าของตึกแถวพิพาทเดิมได้ตกลงกับจำเลยไว้ว่า เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วยอมให้จำเลยเช่าต่อไปอีกโดยจำเลยต้องปรับปรุงต่อเติมอาคารให้แข็งแรง ซ่อมแซมห้องน้ำเปลี่ยนหลังคาจากสังกะสีมาเป็นหลังคากระเบื้อง ซ่อมแซมและตกแต่งบันไดขึ้นชั้นบนและจำเลยฎีกาข้อต่อมาว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเพียงเดือนละ 1,000 บาท นั้นล้วนเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ก็เป็นการไม่ชอบถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้และที่โจทก์ฎีกาว่าได้รับความเสียหายเดือนละ 50,000 บาท นั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นเดียวกัน”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และยกฎีกาโจทก์และจำเลย ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น