คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 968/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องเดิมของโจทก์เรียกร้องค่าเลี้ยงดูเฉพาะตัวโจทก์เองเท่านั้น การที่โจทก์ร้องขอให้เพิ่มค่าอุปการะเลี้ยงดูอีกจึงต้องเป็นเรื่องสืบเนื่องโดยตรงจากคำฟ้องเดิมของโจทก์นั้นเอง จะยกเอาประเด็นใหม่ขึ้นมาประกอบ อาทิเรื่องความจำเป็นเกี่ยวแก่การศึกษาของบุตรอีกด้วยเช่นนี้ไม่ได้ เพราะค่าอุปการะเลี้ยงดูสำหรับตัวโจทก์เองโดยเฉพาะในฐานะที่เคยเป็นภรรยา กับค่าอุปการะเลี้ยงดูสำหรับบุตร เป็นคนละเรื่องคนละประเด็น และอาศัยหลักกฎหมายต่างกัน
แม้ในคำร้องของโจทก์ ที่ขอค่าอุปการะเลี้ยงดูเพิ่มขึ้น จะได้กล่าวอ้างถึงเรื่องบุตรตลอดจนไม่มีเงินค่าเล่าเรียนให้แก่บุตร และศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยกล่าวอ้างถึงเช่นนั้น และฝ่ายจำเลยจะไม่โต้แย้งด้วยก็ตาม แต่เมื่อไม่ใช่ประเด็น ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงความข้อนี้
เมื่อเงินค่าเลี้ยงดูที่โจทก์ได้รับอยู่เป็นผลสืบเนื่องมาจากนิติกรรมโดยศาลบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งได้กระทำไว้ต่อกันในวันจดทะเบียนหย่านั้น ย่อมไม่ใช่เป็นเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาลกำหนดให้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1506 และ มาตรา 1594 วรรคสอง คำว่า “ค่าเลี้ยงดู” กับ “ค่าอุปการะเลี้ยงดู” นั้นมีความหมายอย่างเดียวกัน แต่เหตุแห่งการได้มาซึ่งค่าเลี้ยงดูหรือค่าอุปการะเลี้ยงดูสำหรับภรรยานั่นแหละเป็นสาระสำคัญที่ก่อให้เกิดผลแตกต่างกันขึ้นได้
ตามมาตรา 1506 นั้น ศาลจะต้องพิจารณาเห็นว่า สามีเป็นผู้ผิดแต่ฝ่ายเดียว หากตรงข้ามภรรยาเป็นฝ่ายผิดแล้ว ศาลจะให้สามีจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่ภรรยาก็ไม่ได้กรณีที่ศาลกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่ภรรยาตามมาตรานี้จึงเป็นไปตาม มาตรา 1594 นั้นด้วยซึ่งเป็นกำหนดตามที่ศาลพิจารณาเห็นสมควร ในวาระหนึ่งต่อมาเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป ศาลจึงมีอำนาจที่จะสั่งให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ตามควรแก่กรณี โดยอาศัย มาตรา 1596นั้น
เมื่อโจทก์ได้รับสิทธิ(เกี่ยวกับค่าเลี้ยงดู)ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลก็ไม่ต้องคำนึงถึงความผิดความถูกของฝ่ายใด จำนวนเงินมากหรือน้อยไปเพียงใด กรณีมิได้เป็นไปตาม มาตรา 1506 และ 1594 จึงจะยกเอา มาตรา 1596 ขึ้นมาปรับแก่คดีไม่ได้ เมื่อศาลบังคับคดีให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวและคดีถึงที่สุดไปแล้ว ข้อพิพาททั้งมวลก็ต้องยุติไปตามนั้น

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่าขาดจากสามีภรรยากันตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. 2488 ในหนังสือหย่านั้นได้บันทึกข้อตกลงไว้ว่าจำเลยยินยอมให้ค่าเลี้ยงดูแก่โจทก์เดือนละ 80 บาท แต่แล้วจำเลยไม่ให้ค่าเลี้ยงดูแก่โจทก์ตามนั้น โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง ซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเลี้ยงดูแก่โจทก์เดือนละ 80 บาท ตลอดมาแล้ว

บัดนี้ โจทก์ร้องว่า ค่าอุปการะเลี้ยงดูเพียงเดือนละ 80 บาทไม่พอแก่การยังชีพของโจทก์และบุตรตลอดจนการศึกษาของบุตรด้วยและจำเลยมีรายได้มากขึ้นกว่าเดิม จึงขอให้ศาลสั่งเพิ่มค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์เป็นเดือนละ 300 บาท

จำเลยต่อสู้ว่า ค่าเลี้ยงดูเดือนละ 80 บาทนี้ โจทก์จำเลยตกลงกันกำหนดขึ้นเอง และศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายตามข้อตกลงนั้นคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มิได้ร้องขอให้ศาลกำหนดวิธีการชั่วคราวไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(2) จะมาร้องขอให้เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วไม่ได้ และค่าเลี้ยงดูในลักษณะเช่นนี้ ไม่ใช่ค่าอุปการะเลี้ยงดูตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ลักษณะ 3 และรายได้ของจำเลยไม่ดีไปกว่าเดิมพอที่จะเพิ่มค่าเลี้ยงดูให้โจทก์ได้

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกัน ค่าเลี้ยงดูที่โจทก์จำเลยตกลงกันมานี้ เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งตามมาตรา 1596 ศาลสั่งเปลี่ยนแปลงได้เวลานี้ค่าครองชีพสูงขึ้นเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูเพียงเดือนละ 80 บาท ไม่พอแก่การยังชีพของโจทก์ และบุตร 1 คน ซึ่งเกิดกับจำเลย ไม่สามารถจะให้การศึกษาเล่าเรียนแก่บุตรได้ และจำเลยก็มีรายได้มากขึ้นด้วย ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้จำเลยเพิ่มค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์จากเดือนละ 80 บาท เป็นเดือนละ 200 บาท นับแต่วันที่โจทก์ยื่นคำร้องเป็นต้นไปศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า เริ่มต้นตั้งแต่หย่าตลอดมาจนฟ้องคดีและศาลพิพากษาไปแล้วนั้น ยังมิได้มีใครกล่าวอ้างถึงเรื่องบุตรและค่าอุปการะเลี้ยงดูสำหรับบุตรกันเลย

โจทก์เพิ่งจะได้กล่าวอ้างถึงเรื่องบุตรและความจำเป็นอันเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนของบุตรขึ้นมาประกอบเหตุผลตามคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิ่มค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์ ซึ่งกำลังพิจารณากันอยู่นี้เองเป็นครั้งแรก และได้นำสืบแสดงเหตุผลว่าเมื่อจดทะเบียนหย่ากัน โจทก์เพิ่งตั้งครรภ์ได้ 2 เดือนเท่านั้นจึงบันทึกไว้ในหนังสือหย่าว่าไม่มีบุตรด้วยกัน

คำฟ้องเดิมของโจทก์เรียกร้องค่าเลี้ยงดูเฉพาะตัวโจทก์เองเท่านั้น ดังนั้นการที่โจทก์ร้องขอให้เพิ่มค่าอุปการะเลี้ยงดูในชั้นนี้ จึงต้องเป็นเรื่องสืบเนื่องโดยตรงจากคำฟ้องเดิมของโจทก์นั้นเอง จะยกเอาประเด็นใหม่ขึ้นมาประกอบ อาทิเรื่องความจำเป็นเกี่ยวแก่การศึกษาของบุตรอีกด้วยเช่นนี้ ไม่ได้ เพราะค่าอุปการะเลี้ยงดูสำหรับตัวโจทก์เองโดยเฉพาะในฐานะที่เคยเป็นภรรยา กับค่าอุปการะเลี้ยงดูสำหรับบุตรเป็นคนละเรื่องคนละประเด็น และอาศัยหลักกฎหมายต่างกัน

การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กล่าวอ้างถึงเรื่องบุตรตลอดจนไม่มีเงินค่าเล่าเรียนให้แก่บุตรนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ในคำร้องของโจทก์จะได้กล่าวอ้างไว้ และฝ่ายจำเลยจะไม่โต้แย้งด้วยก็ตามก็ไม่ใช่ประเด็นในชั้นนี้ ศาลจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงความข้อนี้

เงินค่าเลี้ยงดูเดือนละ 80 บาท ที่โจทก์ได้รับอยู่ในขณะนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากนิติกรรมโดยศาลบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งได้กระทำไว้ต่อกันในวันจดทะเบียนหย่าเท่านั้นเองหาใช่เป็นเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาลกำหนดให้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1506 และ มาตรา 1594 วรรคสอง นั้นไม่ จริงอยู่คำว่า “ค่าเลี้ยงดู” กับ “ค่าอุปการะเลี้ยงดู” นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยว่า มีความหมายอย่างเดียวกัน แต่เหตุแห่งการได้มาซึ่งค่าเลี้ยงดูหรือค่าอุปการะเลี้ยงดูสำหรับภรรยานั่นแหละเป็นสาระสำคัญที่จะก่อให้เกิดผลแตกต่างกันขึ้นได้

ตามมาตรา 1506 นั้น ศาลจะต้องพิจารณาเห็นว่า สามีเป็นผู้ผิดแต่ฝ่ายเดียว หากตรงข้าม ภรรยาเป็นฝ่ายผิดแล้ว ศาลจะให้สามีจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่ภรรยาก็ไม่ได้ กรณีที่ศาลกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่ภรรยาตามมาตรานี้ จึงเป็นไปตาม มาตรา 1594 นั้นด้วยซึ่งเป็นการกำหนดตามที่ศาลพิจารณาเห็นสมควรในวาระหนึ่งต่อมาเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป ศาลจึงมีอำนาจที่จะสั่งให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ตามควรแก่กรณี โดยอาศัย มาตรา 1596 นั้น

แต่เฉพาะคดีเรื่องนี้ โจทก์ได้รับสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่างหาก ศาลไม่ต้องคำนึงถึงความผิดความถูกของฝ่ายใดจำนวนเงินมากหรือน้อยไปเพียงใด กรณีมิได้เป็นไปตาม มาตรา 1506และ 1594 เสียแล้ว จะยกเอามาตรา 1596 ขึ้นมาปรับแก่คดีเรื่องนี้ไม่ได้ เมื่อศาลบังคับคดีให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว และคดีถึงที่สุดไปแล้ว ข้อพิพาททั้งมวลก็ต้องยุติไปตามนั้น

ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ โดยให้ยกคำร้องของโจทก์แต่คำพิพากษานี้ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ในการฟ้องร้องอันเกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูสำหรับบุตร

Share