แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่จับได้จำเลยเพียงคนเดียว ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ได้ตัวมากับโจทก์ฟังไปทีเดียว โดยยังไม่ครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันออกหมายจับ โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหมดทุกคนในฐานความผิดที่หนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา เช่นนี้ ศาลฎีกาคงวินิจฉัยให้แต่สำหรับจำเลยที่ได้ตัวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ยังไม่ได้ตัวมาศาลฎีกายังไม่พิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกปล้นทรัพย์ของนายสมชัย แซ่ลี้ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา ม. ๓๐๑,๖๓ จำเลยที่ ๒ เคยต้องคำพิพากษา รอการกำหนดโทษไว้ ขอให้กำหนดโทษที่รอในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษคดีนี้ด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ ข้อเคยถูกรอการกำหนดโทษรับว่าจริง
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยทำร้ายเจ้าทรัพย์ แต่ไม่เชื่อว่าปล้น พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามผิดกฎหมายอาญา ม.๒๕๔ จำคุกคนละ ๔เดือน และกำหนดโทษจำเลยที่ ๒ ที่รอไว้ ๑ เดือน บวกเข้ากับโทษคดีนี้ด้วย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยได้ทำผิดเพียงฐานชิงทรัพย์ทำให้ผู้อื่นรับอันตรายถึงสาหัส เพราะฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธ พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตามประมวลอาญา ม. ๓๓๙ จำคุกคนละ ๕ ปี รวมโทษที่กำหนดในคดีเก่าสำหรับจำเลยที่ ๒ ควบอีก ๑ เดือนกับให้จำเลยใช้เงินคืนเจ้าทรัพย์
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฟัง ส่วนจำเลยที่ ๒-๓ ยังอยู่ในระหว่างออกหมายจับ
จำเลยที่ ๑ และโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยทั้งสาม เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๐๑ จับจำเลยที่ ๑ ได้ และศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และโจทก์ฟังเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๐๑ ยังไม่ถึง ๑ เดือน นับแต่วันออกหมายจับ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ – ๓ ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ตาม วิ.อาญา. ม. ๑๘๒ ชั้นนี้ศาลฎีกาจึงพิจารณาคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑ เท่านั้น ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำร้ายผู้เสียหายถึงบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ได้เอาเงินของผู้เสียหายไป พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๑ ผิดกฎหมายอาญา ม. ๒๕๖ จำคุก ๒ ปี.