แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลพิพากษาตามยอมให้โจทก์จำเลยร่วมกันไถ่จำนองจากเจ้าหนี้ภายในกำหนด 1 เดือน ครบกำหนดโจทก์ไม่ไถ่จำเลยจึงไปกู้เงินผู้อื่นมาไถ่โดยเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้โจทก์ชำระเงินส่วนที่โจทก์จะต้องไถ่แต่ไม่ยอมชำระดอกเบี้ยที่จำเลยได้เสียให้แก่ผู้ให้กู้ จำเลยจึงฟ้องเรียกจากโจทก์ เงินดอกเบี้ยนั้นถือเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ เมื่อโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการกู้เงินนี้ และไม่มีพฤติการณ์แสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์ควรจะได้คาดเห็นเช่นนั้นล่วงหน้ามาก่อนแล้วโจทก์ก็ไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลย
จำเลยฟ้องแย้งเรียกดอกเบี้ยที่จำเลยต้องกู้เงินคนอื่นมาไถ่จำนองแทนโจทก์ มิได้อ้างสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากโจทก์ในฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิจากเจ้าหนี้จำนองศาลจะบังคับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยในฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิจากเจ้าหนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ค่าเสียหายที่จำเลยฟ้องแย้งเรียกจากโจทก์
ย่อยาว
คดีนี้ คงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาและพิพากษาอีกประเด็นเดียวคือ ประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้ง เรียกดอกเบี้ยเงินกู้ซึ่งจำเลยต้องเสียไป เพราะไปกู้เงินบุคคลอื่นมาไถ่จำนองตามคำพิพากษาตามยอมซึ่งศาลบังคับให้โจทก์จำเลยร่วมกันไถ่จากธนาคารกรุงเทพเจ้าหนี้ แต่โจทก์ไม่ไถ่ เมื่อโจทก์ชำระหนี้จำนองครึ่งหนึ่งให้จำเลยแล้ว โจทก์ไม่ยอมใช้ดอกเบี้ยเงินที่จำเลยต้องกู้มานั้น จำเลยจึงฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่มีสิทธิจะเรียกร้องเอาจากโจทก์ ถ้าจำเลยกู้เงินมาจริง โจทก์ก็ไม่ได้ยินยอมและรู้เห็นด้วยขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่โจทก์ไม่ไถ่ถอนจำนองโดยจะให้ธนาคารเอาที่ดินขายทอดตลาด เป็นการใช้สิทธิที่มีแต่จะทำให้เกิดการเสียหายแก่จำเลยเพราะจำเลยต้องการที่ดินไว้และศาลก็พิพากษาให้เป็นไปตามที่จำเลยประสงค์แล้วพิพากษาให้โจทก์ใช้เงินดอกเบี้ยให้จำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ไม่รู้เห็นยินยอมกับจำเลยด้วยในการที่จำเลยไปกู้เงินมาไถ่ถอนจำนอง จะให้โจทก์ต้องรับผิดในดอกเบี้ยนั้นย่อมไม่ชอบ แต่การที่จำเลยเข้าใช้หนี้แทนโจทก์จำเลยย่อมได้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229 (3) ประกอบด้วยมาตรา 226จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิเท่าที่เจ้าหนี้มีอยู่ คือได้ดอกเบี้ยจากโจทก์ พิพากษาให้โจทก์เสียดอกเบี้ยในต้นเงินที่จำเลยใช้แทนโจทก์ไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เงินดอกเบี้ยที่จำเลยไปกู้ผู้อื่นมาไถ่ถอนจำนองนั้น เป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ เมื่อโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการกู้เงินนี้ และไม่มีพฤติการณ์แสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์ควรจะได้คาดเห็นเช่นนั้นล่วงหน้ามาก่อนแล้วโจทก์ไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 วรรค 2 แต่ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิของเจ้าหนี้ได้นั้น เห็นว่า จำเลยฟ้องแย้งเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ที่จำเลยต้องเสียไปเนื่องจากไปกู้เงินบุคคลอื่นมาไถ่จำนองแทนโจทก์ จำเลยมิได้อ้างสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากโจทก์ในฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิจากเจ้าหนี้ ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ใช้แก่จำเลยนั้น จึงไม่ใช่ค่าเสียหายที่จำเลยฟ้องแย้งเรียกจากโจทก์
พิพากษาแก้ ยกฟ้องแย้งของจำเลย