แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องขับไล่ อ้างว่าจำเลยปลูกโรงโกดังในบริเวณที่ดินของโจทก์ เพื่อใช้เป็นที่ประกอบการค้า โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ บอกกล่าวให้รื้อไปใน 60 วัน จำเลยให้ความยินยอมไว้ตามหนังสือยินยอมดังนี้ ถือว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย โดยข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์อยู่ที่ว่า โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ จนบอกกล่าวและจำเลยก็ยอมออกไปโดยทำหนังสือยินยอมออกไปให้ไว้
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าเป็นการเช่า หากจำเลยได้ทำหนังสือให้ความยินยอมออกจากที่โจทก์แล้ว จำเลยก็ย่อมหมดสิทธิที่จะอยู่ต่อไป
ฟ้องว่า จำเลยเข้าปลูกสร้างโดยอาศัย ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นเรื่องเช่า ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง
ย่อยาว
คดี ๔ สำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน ๓ สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกโรงโกดังหรือสิ่งก่อสร้างขึ้นคนละ ๑ หลัง ในบริเวณที่ดินของโจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกโรงโกดังหรือสิ่งก่อสร้างขึ้นคนละ ๑ หลัง ในบริเวณที่ดินของโจทก์ตำบลวังบูรพา อำเภอพระนคร เพื่อใช้เป็นที่ประกอบการค้า ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยปลูกอยู่ต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนไปหลายครั้งและเมื่อวันที่ ๖ ก.ย. ๙๘ โจทก์บอกล่าวให้จำเลยรื้อถอนไปภายใน ๖๐ วัน จำเลยก็ยินยอมท้ายฟ้อง ถึงกำหนดจำเลยไม่จัดการอย่างไร โจทก์บอกล่าวจำเลย ฯ เฉยเสีย จึงฟ้องขับไล่และให้จำเลยรื้อถอนขนย้ายไป
จำเลย ๓ สำนวนให้การทำนองเดียวกันว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ โดยฟ้องมิได้แสดงให้ชัดแจ้งว่า จำเลยเข้าไปอยู่ในที่ดินโจทก์เมื่อไร โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาหรือละเมิดและว่าจำเลยปลูกอาคารอาศัยอยู่ในวัดโดยเช่าจากเจ้าอาวาสเพื่ออยู่อาศัย มิใช่การค้า จำเลยได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่าฯ จำเลยไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวและจำเลยเซ็นชื่อในหนังสือยินยอมท้ายฟ้องเพราะ ร.ต.อ. ชุบใช้กลฉ้อฉลให้เซ็น จำเลยบอกล้างไปแล้ว
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ๕-๖ ปีมานี้จำเลยขออาศัยปลูกโกดัง ๑ หลัง ในบริเวณที่ดินของโจทก์ ตำบลวังบูรพา อำเภอพระนคร โจทก์ประสงค์ไม่ให้จำเลยปลูกอยู่ต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อออกไป จำเลยไม่ปฏิบัติตาม จึงฟ้องขับไล่และให้จำเลยรื้อถอนออกไปจากที่โจทก์
นายหงี-จำเลยให้การว่า ทำสัญญาเช่าที่ดินจากเจ้าอาวาสแต่ พ.ศ.๒๔๙๓ จำเลยเช่าเป็นที่อยู่อาศัย โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่า ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้ง ๔ สำนวน และให้รื้อโรงเรือนออกจากที่พิพาทจำเลย ๔ สำนวนอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงมีผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้อุทธรณ์ได้ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลย ๔ สำนวนฎีกา ข้อเท็จจริงมีผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาได้ด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัย ๓ สำนวนแรกว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เพราะการที่จำเลยจะเข้าอยู่ในที่ดินนั้นโดยเหตุใดก็ตาม ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์อยู่ที่ว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไป จนบอกล่าวและจำเลยก็ยินยอมออกไปโดยทำหนังสือให้ไว้ตามหนังสือยินยอมนั้น ฟ้องโจทก์จึงเป็นไปตาม ป.วิ.แพ่ง ม.๑๗๒ แล้วและที่จำเลยลงชื่อในสัญญายอมออกจากที่ดินนั้น ไม่เป็นการถูกกลฉ้อฉล เมื่อ-ฟังว่าจำเลยทำหนังสือยินยอมออกจากที่โจทก์แล้ว แม้การที่จำเลยเข้าไปอยู่ในที่จะโดยสัญญาเช่าก็ตาม จำเลยก็ย่อมหมดสิทธิที่จะอยู่ต่อไป และวินิจฉัยด้วยว่า สภาพของโกดังไม่ใช่เคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่าฯ.
ส่วนสำนวนนายหงีจำเลยสำนวนหลัง วินิจฉัยว่า ประเด็นมีว่าจำเลยเข้าปลูกสร้างโดยอาศัยหรือไม่ เมื่อปรากฏตามทางพิจารณาว่า จำเลยมิได้อาศัยดังฟ้อง แต่ได้เช่าที่ดินจากวัด โจทก์ก็ต้องแพ้ ศาลฎีกาพิพากษายืน ๓ สำนวนแรก ส่วนสำนวนหลังพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์