คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2276/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันผู้กระทำจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 นั้น ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองอยู่ก่อน แล้วเกิดข้อพิพาทกันขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับสุขาภิบาล ว่าสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในที่พิพาทนี้ยังอยู่แก่จำเลยหรือว่าตกเป็นของสุขาภิบาลไปเสียแล้ว การที่จำเลยเข้าล้อมรั้วเพื่อครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่เกิดโต้แย้งสิทธิกันอยู่เช่นนี้ จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง 5 คน เป็นผู้มิได้มีสิทธิครอบครองที่ดินของรัฐ ได้บังอาจเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐในท้องที่ตำบลพานพร้าว อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เนื้อที่ประมาณ567.30 ตารางเมตร โดยจำเลยทั้งห้าได้ทำการปิดกั้นรั้วเพื่อการยึดถือครอบครองโดยผิดกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งห้าได้พร้อมด้วยเสียม 5 เล่ม ชะแลงเหล็ก 1 อัน ฆ้อน 2 อัน ลวดหนาม 2 ขด และเชือกไนล่อน 2 เส้น เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 และริบของกลาง

จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่า ที่ดินที่จำเลยเข้าไปครอบครองเป็นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ครอบครองมาเป็นเวลาช้านานแล้วจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 เข้าไปช่วยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ล้อมรั้วโดยการขอร้อง และเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าของที่พิพาท

ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่ดินเป็นของสุขาภิบาลอำเภอศรีเชียงใหม่จำเลยทั้งห้าร่วมกันเข้าไปปักเสาล้อมรั้วแสดงการเป็นเจ้าของโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นที่ดินของสุขาภิบาล เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 5 คนมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ปรับคนละ 500 บาทของกลางริบ

จำเลยทั้งห้าคนอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และฟังว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของ มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้แจ้งการครอบครอง ล.ค.1 เป็นหลักฐานไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2498เมื่อทางการได้ประกาศให้แจ้งการครอบครองโดยชอบแล้ว และจำเลยที่ 1ที่ 2 มีสิทธิครอบครองอยู่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทอดทิ้งการครอบครองต่อมาอำเภอและสุขาภิบาลอำเภอศรีเชียงใหม่เข้าครอบครองและจัดหาผลประโยชน์ในที่พิพาทนี้ โดยในปี พ.ศ. 2503 ทางอำเภอได้จัดทำสวนสาธารณะขึ้นในที่พิพาท จัดทำรั้ว เสาคอนกรีต ตลอดด้านติดถนนพ.ศ. 2509 เกิดน้ำท่วม สวนสาธารณะแห่งนี้เสียหาย เสารั้วหลุดถอนเหลืออยู่บางส่วนเมื่อน้ำลดแล้ว ทางสุขาภิบาลจัดให้เช่าที่พิพาทเก็บค่าเช่าส่งเป็นรายได้สุขาภิบาลตลอดมาจนเกิดกรณีพิพาทนี้ ที่จะเกิดเหตุคดีนี้เป็นเพราะจำเลยอ้างว่าการที่อำเภอและสุขาภิบาลอำเภอศรีเชียงใหม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทนี้สืบเนื่องมาจากการที่นายอำเภอขออนุญาตจากจำเลยที่ 2 ล้อมรั้วปลูกไม้ดอกและจะไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิในที่ดิน นายอำเภอกับพวกเจ้าหน้าที่เคยมาขอที่พิพาทให้แก่สุขาภิบาล จำเลยไม่ยอมให้ ครั้นจำเลยที่ 1 ที่ 2 ขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่พิพาทแก่จำเลยนายอำเภอก็ไม่ยอมออกให้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ถือว่าตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่แท้จริง จึงพาพวกเข้าล้อมรั้วในที่พิพาทเพื่อครอบครองที่พิพาท ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าการเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันผู้กระทำจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 นั้น ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองอยู่ก่อน แล้วเกิดข้อพิพาทกันขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับสุขาภิบาลอำเภอศรีเชียงใหม่ ว่าสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในที่พิพาทนี้ยังอยู่แก่จำเลยหรือว่าตกเป็นของสุขาภิบาลอำเภอศรีเชียงใหม่ไปเสียแล้วการที่จำเลยเข้าล้อมรั้วเพื่อครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่เกิดโต้แย้งสิทธิกันอยู่ เช่นนี้จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108

พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในผลแห่งคดีที่ให้ยกฟ้องโจทก์และคืนของกลางแก่จำเลย

Share