คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536-1540/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ปรับจำเลยเพียงแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกคำขอที่สั่งให้จำเลยออกไปจากป่าที่จำเลยยึดถือครอบครองเสียเท่านั้น คำขอส่วนนี้เป็นวิธีการอุปกรณ์ของโทษ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 72 ตรี ซึ่งศาลมีอำนาจใช้ ดุลพินิจสั่งได้ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ข้อนี้ย่อมถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย
ศาลอุทธรณ์มิได้แก้บทความผิดเพียงแต่แก้โทษปรับให้ต่ำกว่าที่ศาลชั้นต้นลงไว้ และมิได้วางโทษจำคุกแล้วรอไว้ดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษา กับแก้ในข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยออกไปจากป่าที่จำเลยยึดถือครอบครองเป็นให้ยกเสีย ดังนี้ เป็นเพียงการแก้ไขเล็กน้อย

ย่อยาว

คดี 5 สำนวนนี้ ศาลพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ฟ้องเป็นใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยบังอาจเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันเป็นที่ป่า ที่ป่าแก่งกุลาในเขตตำบลแก่งโสภา แล้วทำการก่นสร้างแผ้วถางและเผาป่าดังกล่าว อันเป็นการทำลายป่า ซึ่งมิใช่เป็นการกระทำภายในเขตรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และมิได้มีสิทธิครอบครองตามกฎหมายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 54, 55,72, 72 ตรี;(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 11, 16 ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108 และสั่งให้จำเลยออกจากป่าที่จำเลยเข้ามากระทำผิดด้วย

จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 5 คน มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 54, 55, 72, 72 ตรี;(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 11, 16 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503มาตรา 11, 16 อันเป็นบทหนักให้จำคุกนายโล่และนายโมจำเลยคนละ6 เดือน และปรับคนละ 3,000 บาท ให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี ให้ปรับนายลีและนายพุฒจำเลยคนละ 1,000 บาท และปรับนายกรรมจำเลย1,500 บาท และให้จำเลยทั้ง 5 คนออกจากป่าที่จำเลยเข้ามากระทำผิดนี้ด้วย

จำเลยทั้ง 5 คนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยทั้ง 5 คน ได้ซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมซึ่งได้ก่นสร้างและครอบครองที่ดินนั้นก่อนพระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 และประมวลกฎหมายที่ดินประกาศใช้ และได้แจ้งการครอบครองไว้ ทั้งยังได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา จึงลงโทษจำเลยผู้รับโอนที่ดินส่วนที่เจ้าของเดิมแจ้งการครอบครองไว้แล้วไม่ได้ จำเลยสำนวนที่ 2 ครอบครองที่ดินเท่าจำนวนเนื้อที่ที่แจ้งการครอบครอง จึงไม่มีความผิด จำเลยนอกนั้นครอบครองที่ดินเกินกว่าจำนวนที่ปรากฏในแบบแจ้งการครอบครอง จึงต้องสันนิษฐานว่าจำเลยนอกนั้นแผ้วถางป่าส่วนที่เกินจากที่แจ้งการครอบครองไว้ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 55 ส่วนที่โจทก์ขอให้สั่งให้จำเลยออกจากป่าที่จำเลยเข้ามากระทำผิดนั้น ยังฟังยุติไม่ได้ว่า ส่วนที่เจ้าของเดิมแจ้งการครอบครองไว้โดยชอบแล้วอยู่ตรงไหน และส่วนที่จำเลยดังกล่าวแผ้วถางหลังจากนั้นอยู่ตรงไหนเฉพาะคดีนี้จึงไม่ควรบังคับให้จำเลยออกจากป่าที่จำเลยยึดถือครอบครองพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยสำนวนแรก สำนวนที่สาม สำนวนที่สี่และสำนวนที่ห้า มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484มาตรา 54, 55 และ 72 ตรี;(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 11, 16และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 54 และ 72 ตรี;(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503มาตรา 11, 16 ซึ่งเป็นบทหนัก ให้ปรับนายโล่และนายพุฒจำเลยคนละ1,000 บาท ปรับนายโมและนายกรรมจำเลยคนละ 1,500 บาท ยกฟ้องโจทก์เฉพาะนายลีจำเลย และให้ยกคำขอที่ขอให้จำเลยทั้งห้าสำนวนออกจากป่าที่จำเลยยึดถือครอบครอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 5 สำนวนตามฟ้อง และสั่งให้จำเลยออกไปจากที่ดินที่จำเลยเข้ามากระทำผิด

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนายพุฒกับคดีนายกรรมจำเลย ศาลพิพากษาต้องกันให้ปรับจำเลย 1,000 บาทและ 1,500 บาทตามลำดับ เพียงแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกคำขอให้สั่งจำเลยออกไปจากป่าที่จำเลยยึดถือครอบครองเสียเท่านั้น คำขอส่วนนี้เป็นวิธีการอุปกรณ์ของโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 72 ตรี ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 16 วรรค 3 ของมาตรา 72 ตรี นี้ บัญญัติให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้ออกไปจากป่าที่ยึดถือครอบครองได้ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ข้อที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจสั่งในเรื่องวิธีการอุปกรณ์ของโทษเช่นนี้ ย่อมถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนคดีนายโล่จำเลยกับคดีนายโมจำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้บทความผิดเพียงแต่แก้โทษ คือ ลงโทษปรับต่ำกว่าที่ศาลชั้นต้นลงไว้เพียงสถานเดียว โดยมิได้วางโทษจำคุกแล้วให้รอการลงโทษไว้ด้วยดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น กับแก้ในข้อที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจสั่งให้จำเลยออกไปจากป่าที่จำเลยยึดถือครอบครองเท่านั้น การพิพากษาแก้ดังนี้ถือได้ว่าเป็นเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย คู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 นั้นเช่นกัน ฎีกาของโจทก์สำหรับจำเลยทั้งหมด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยฎีกา สำหรับจำเลย 4 สำนวนที่กล่าวแล้ว คงมีแต่ฎีกาของโจทก์เฉพาะคดีนายลีจำเลยเท่านั้น ที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้เพราะศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น

สำหรับนายลีจำเลยนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่ดินที่นายลีจำเลยกับพวกครอบครองอยู่มีสภาพเป็นหมู่บ้าน และเป็นที่ทำกินถาวรมาช้านานจนทางราชการรับรู้เห็น ให้มีผู้ใหญ่บ้าน กำนันปกครอง นายลีจำเลยเคยนำ ส.ค. 1 ไปแสดงต่อทางอำเภอ เป็น ส.ค. 1 ที่นายจวนกับนายอวนแจ้งการครอบครองไว้เมื่อ 5 เมษายน 2498 ซึ่งระบุว่าคนทั้งสองได้บุกเบิกเองก่อนแจ้ง ส.ค. 1 เป็นเวลา 3 ปี และ 6 ปีตามลำดับและเป็นเวลาก่อนพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503และประมวลกฎหมายที่ดินประกาศใช้ นายลีซื้อที่ดินดังกล่าวจากนายจวนและนายอวนแล้วครอบครองต่อมา ศาลฎีกาเชื่อว่านายลีจำเลยได้ซื้อที่ดินรายนี้มาและเข้ายึดถือครอบครองโดยสุจริต หาได้มีเจตนาฝ่าฝืน มาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน อันจะเป็นความผิดอาญาดังโจทก์ฟ้องไม่

พิพากษายืนสำหรับคดีนายลีจำเลย พิพากษายกฎีกาโจทก์สำหรับจำเลยอื่น

Share