แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำให้การของจำเลยที่ตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะลงนามแทนสำนักนายกรัฐมนตรีได้ นั้น ย่อมไม่ทำให้เกิดประเด็นที่ศาลจะต้องยกขึ้นวินิจฉัยเพราะจำเลยหาได้ยกข้อเท็จจริงอย่างใดขึ้นกล่าวอ้างให้เป็นประเด็นเพื่อให้ศาลได้วินิจฉัยไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือเนื่องด้วยพฤติการณ์อย่างใดโจทก์จึงไม่มีอำนาจ และการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นคือบทกฎหมายบทใดข้อใด แม้ข้อเท็จจริงบางอย่างศาลรังรู้ได้เอง แต่คู่ความจะต้องกล่าวอ้างข้อเท็จจริงนั้นให้เป็นประเด็นขึ้นมาในคดี แม้แต่ข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นต่อสู้ ก็จะต้องกล่าวอ้างเช่าเดียวกัน
ภรรยากระทำการไปในฐานะเป็นตัวแทนของสามี ภรรบาจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้สินอันเกิดจากการที่กระทำไปตามหน้าที่ตัวแทนหรือร่วมกับสามีเป็นตัวการ
ทำสัญญาค้ำประกันให้ผู้ขายหากผู้ซื้อละเมิดสัญญาหรือมีหนี้สินประกันยอมรับผิด และชดใช้ค่าเสียหายแทน ไม่เกินวงเงินจำนวนหนึ่ง เมื่อผู้ซื้อไปทำหนี้สินเกินกว่าจำนวนเงินที่คำประกันไว้ ผู้ค้ำประกันก็คงรับผิด ไม่เกินกว่าเงินที่ค้ำประกันไว้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า คณะรัฐมนตรีได้จัดตั้งองค์การสรรพาหารขึ้น เพื่อดำเนินการลดค่าครองชีพ โจทก์เป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาซื้อเชื่อสินค้าจากองค์การสรรพาหาร นายถวิล อุดลจำเลยที่ ๓ ได้ทำสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ ๒ เป็นภรรยาจำเลยที่ ๑ ร่วมทำการค้ากับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ – ๒ ได้ซื้อเชื่อสินค้าจากองค์การสรรพหาร ไปยังไม่ได้ชำระราคา รวมเป็นราคา ๑๖,๑๐๑ บาท ๖๗ สตางค์ จึงขอให้จำเลยชำระ
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ – ๒ ชำระค่าสินค้า ๑๖,๑๐๑ บาท ๖๗ สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ย ถ้าจำเลยที่ ๑ , ๒ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๓ ชำระแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยชำระแล้ว ๔๐๐ บาท จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ – ๒ ใช้เงิน ๑๕,๗๐๑ บาท ๖๗ สตางค์ ถ้าจำเลยที่ ๑ – ๒ ไม่ชำระ หรือชำนะไม่ครบให้จำเลยที่ ๓ ชำระแทน แต่ไม่เกิน ๑๕๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แต่เพียงว่า “จำเลยขอตัดฟ้องว่าจอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะลงนามแทนสำนักนายกรัฐมนตรีได้” นั้นจำเลยหาได้ยกข้อเท็จจริงอย่างใดขึ้นกล่าวอ้างให้เป็นประเด็นเพื่อให้ศาลได้วินิจฉัยไม่ว่าด้วยเหตุใดหรือเนื่องจากพฤติการณ์อย่างใด จอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงไม่มีอำนาจ และการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น คือกฎหมายบทใด ข้อใด จริงอยู่ข้อเท็จจริงบางอย่างศาลรับรู้ได้เอง แต่คู่ความจะต้องกล่าวอ้างข้อเท็จจริงนยน้นให้เป็นประเด็นขึ้นมาในคดี แม้แต่ข้อกฎหมายที่ประสงค์จะยกขึ้นต่อสู้ ก็จะต้องกล่าวอ้างเช่นเดียวกัน ฉะนั้นคำให้การแต่เพียงว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ทำให้เกิดประเด็นที่ศาลจะต้องยกขึ้นวินิจฉัย และไม่เป็นประเด็นที่จะนำสืบได้
ส่วนปัญหาข้อเท็จจริงคงฟังตามศาลล่าง แต่สำหรับตัวจำเลยที่ ๒ ได้กระทำการไปในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๑ เท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๓ ผู้ค้ำประกัน เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหรือไม่ชำระไม่ครบ ก็จำต้องรับผิดชอบตามสัญญาที่ลงนามค้ำประกันไว้ คือไม่เกินวงเงิน ๑๕๐๐๐ บาท
จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด