แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เคยฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของสามีผู้วายชนม์จากจำเลย จนศาลได้พิพากษาให้แบ่งสินสมรสและแบ่งปันมรดกไปแล้ว แม้ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องขึ้นใหม่ในคดีใหม่ในคดีใหม่เป็นทรัพย์คนละอย่างกับคดีก่อนแต่ก็เป็นเรื่องเรียกทรัพย์จากจำเลยมาแบ่งเป็นสินสมรส และแบ่งมรดกเช่นเดียวกัน อันเรียกได้ว่าเป็นประเด็นเดียวกับคดีก่อน ซึ่งได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องที่ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 148 แม้โจทก์ได้ขอสงวนสิทธิไว้ในคดีก่อน แต่ศาลก็มิได้พิพากษาว่าไม่ตัดสิทธิจะฟ้องร้องว่ากล่าว หรือนัยหนึ่งไม่ได้ให้สิทธิโจทก์ที่จะฟ้องร้องใหม่ได้ จึงไม่ทำให้โจทก์กลับมีอำนาจฟ้องคดีใหม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องเรียกสินสมรสและมรดกของนายสมพงษ์สามี และบิดาโจทก์ผู้วายชนม์เป็นเงิน ๙๘,๐๕๐ บาท ๖๕ สตางค์ ซึ่งจำเลยได้ครอบครองไว้
จำเลยต่อสู้ว่า ฟ้องซ้ำและคดีขาดอายุความแล้ว ฯลฯ
โจทก์จำเลยรับว่า ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องนี้ยังไม่ได้ว่ากล่าวกันในคดีเรื่องก่อน
จำเลยยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อที่จำเลยตัดฟ้อง
ศาลชั้นต้น วินิจฉัยว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้ยกคำร้องจำเลยอุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมา
ศาลฎีกา เห็นว่า ในคดีเรื่องก่อนโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของนายสมพงษ์ผู้วายชนม์จากจำเลย จนศาลได้พิพากษาให้แบ่งสินสมรสและแบ่งปันมรดกเสร็จไปแล้ว แม้ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องขึ้นใหม่ในคดีนี้ เป็นทรัพย์คนละอย่างกับคดีก่อน แต่ก็เป็นเรื่องเรียกทรัพย์จากจำเลยมาแบ่งเป็นสินสมรสและแบ่งมรดกเช่นเดียวกัน อันเรียกได้ว่าเป็นประเด็นเดียวกับคดีก่อน ซึ่งได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันจึงเป็นฟ้องที่ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๔๘ แม้โจทก์ได้ขอสงวนสิทธิไว้ในคดีก่อน แต่ศาลก็ไม่ได้พิพากษาว่าไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะฟ้องร้องว่ากล่าว หรือนัยหนึ่งศาลมิได้ให้สิทธิจะฟ้องใหม่ได้ จึงไม่ทำให้โจทก์กลับมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง