คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า มีทางสายหนึ่งผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ ณ ที่ใดและมีเขตติดต่ออย่างไร โจทก์ใช้ทางมา 33 ปีแล้ว จำเลยปิดทางจึงฟ้องขอให้เปิดโดยมิได้บรรยายว่า เป็นภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงใดของโจทก์ ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์อยู่ที่ใด โจทก์ย่อมนำสืบได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มีทางสายหนึ่งผ่านที่ดินของจำเลยอยู่ที่ตำบลถอนสมอ อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ทิศเหนือติดคลอง ทิศใต้และตะวันออกติดนางปุ่น ทิศตะวันตกติดนางพึ่ง โจทก์ใช้ทางนี้นำโคกระบือ เกวียนผ่านไปทำนาติดต่อกันมาจนบัดนี้ 33 ปีแล้ว จึงตกเป็นทางภารจำยอมตามกฎหมายจำเลยปิดทางนี้ โจทก์ขอร้องจำเลย ๆ ไม่ยินยอมจึงขอศาลสั่งว่า ทางพิพาทตกอยู่ในภาระจำยอมและบังคับให้จำเลยเปิดทางพิพาท

จำเลยต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ทราบว่าที่ดินแปลงใดของจำเลยตกเป็นภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงใดของโจทก์ยากแก่การต่อสู้ และจำเลยไม่เคยปิดทาง เป็นแต่ห้ามไม่ให้นำโคกระบือเข้าในบริเวณบ้านของจำเลย

ชั้นชี้สองสถาน โจทก์ขอทำแผนที่ จำเลยคัดค้าน ศาลสั่งให้ทำ

ศาลชั้นต้นฟังว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม และทางพิพาทใช้มากว่า 10 ปีแล้วตกเป็นภารจำยอม จึงพิพากษาให้จำเลยเปิดทางพิพาท

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จึงพิพากษากลับโดยไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ได้ระบุชัดแล้วว่าที่ดินของจำเลยตั้งอยู่ ณ ที่ใดมีเขตติดต่อกับที่ดินของใครบ้าง ส่วนที่ว่า จำเลยไม่ทราบว่าเป็นประโยชน์แก่ที่ดินแปลงใดของโจทก์นั้น ภารจำยอมจะมีได้ก็แต่อสังหาริมทรัพย์เป็นประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์ ๆ ของโจทก์อยู่ที่ใด โจทก์ย่อมนำสืบได้ ไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมแต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้วินิจฉัยต่อไป

Share