คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1666/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้เลื่อนการพิจารณาการไต่สวนมูลฟ้องไว้ก่อนจนกว่าอีกศาลหนึ่งจะได้ชี้ขาดในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องถึงที่สุดนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวนต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2506)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานปฏิบัติหรือละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ หน่วงเหนี่ยว กักขัง แกล้งฟ้องเท็จ
ศาลชั้นต้นสั่งให้เลื่อนการพิจารณาโดยรอการไต่สวนมูลฟ้องไว้ก่อนจนกว่าศาลทหารกรุงเทพ ฯ จะได้ชี้ขาดในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องเสียก่อน จึงจะยกคดีนี้ขึ้นไต่สวนมูลฟ้องต่อไป
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งในระหว่างพิจารณาซึ่งไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวนนั้น มาตรา ๑๙๖ ห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา เหตุที่กฎหมายบัญญัติห้ามไว้เช่นนี้ ก็เพื่อจะให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลลุล่วงไปโดยรวดเร็ว หากไม่ห้ามไว้ดังกล่าว เมื่อศาลมีคำสั่งในการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ คู่ความก็จะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ทุกคำสั่ง การดำเนินคดีก็จะต้องชงักชักช้า โดยต้องพิจารณาอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้น ๆ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๑ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาใช้บังคับแก่การไต่สวนมูลฟ้องโดยอนุโลม เรื่องนี้ ศาลสั่งให้เลื่อนการพิจารณาการไต่สวนมูลฟ้องก็โดยอาศัยบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาตามมาตรา ๑๗๙ วรรค ๒ ฉะนั้น คำสั่งของศาลในคดีนี้จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์ต้องห้าม การที่ศาลอุทธรณ์รับพิจารณาและพิพากษาตามข้ออุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ชอบ
จึงพิพากษาให้ยกอุทธรณ์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และฎีกาของโจทก์เสีย

Share