แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า มีทางสายหนึ่งผ่านที่ดินของจำเลย ซึ่งตั้งอยู่ ณ ที่ใดและมีเขตติดต่ออย่างไร โจทก์ใช้ทางมา 33 ปี แล้ว จำเลยปิดทางจึงฟ้องขอให้เปิดโดยมิได้บรรยายว่า เป็นภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงใดของโจทก์ ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์อยู่ที่ใด โจทก์ย่อมนำสืบได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่ามีทางสายหนึ่งผ่านที่ดินของจำเลยอยู่ที่ตำบลถอนสมอ อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ทิศเหนือติดคลอง ทิศใต้และตะวันออกติดนางปุ่น ทิศตะวันตกติดนางพึ่ง โจทก์ใช้ทางนี้นำโคกระบือ เกวียนผ่านไปทำนาติดต่อกันมาจนบัดนี้ ๓๓ ปีแล้ว จึงตกเป็นทางภาระจำยอมตามกฎหมาย จำเลยปิดทางนี้ โจทก์ขอร้องจำเลย ๆ ไม่ยินยอมจึงขอศาลสั่งว่า ทางพิพาทตกอยู่ในภาระจำยอมและบังคับให้จำเลยเปิดทางพิพาท
จำเลยต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ทราบว่าที่ดินแปลงใดของจำเลยตกเป็นภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงใดของโจทก์ ยากแก่การต่อสู้ และจำเลยไม่เคยปิดทาง เป็นแต่ห้ามไม่ให้นำโคกระบือเข้าในบริเวณบ้านของจำเลย
ชั้นชี้สองสถาน โจทก์ขอทำแผนที่ จำเลยคัดค้าน ศาลสั่งให้ทำ
ศาลชั้นต้นฟังว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม และทางพิพาทใช้มากกว่า ๑๐ ปีแล้วตกเป็นภาระจำยอม จึงพิพากษาให้จำเลยเปิดทางพิพาท
จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ฟังว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จึงพิพากษากลับโดยไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ได้ระบุชัดแล้วว่าที่ดินของจำเลยตั้งอยู่ ณ ที่ใด มีเขตติดต่อกับที่ดินของใครบ้าง ส่วนที่ว่า จำเลยไม่ทราบว่าเป็นประโยชน์แก่ที่ดินแปลงใดของโจทก์นั้น ภาระจำยอมจะมีได้ก็แต่อสังหาริมทรัพย์เป็นประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์ ๆ ของโจทก์อยู่ที่ใด โจทก์ย่อมนำสืบได้ ไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้วินิจฉัยต่อไป