แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามธรรมดาแล้วอำนาจปกครองอยู่แก่บิดา แต่เมื่อมีความเหมาะสม ศาลอาจสั่งให้อำนาจปกครองอยู่แก่มารดาได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือน 6 พ.ศ. 2495 โจทก์ได้แต่งงานกับจำเลยตามประเพณี แต่มิได้จดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมายโจทก์จำเลยได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา จนเกิดบุตรด้วยกันคนหนึ่งชื่อเด็กชายประกอบเกียรติ์ซึ่งเกิดเมื่อเดือน 4 พ.ศ. 2496 ต่อมาเดือน 6 พ.ศ. 2496 จำเลยได้ละทิ้งโจทก์ไปไม่ส่งเสียค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและไม่รับรองว่าเด็กชายประกอบเกียรติ์เป็นบุตรของจำเลยทั้งยังหาเหตุฟ้องร้องเรียกทรัพย์ต่าง ๆ จากโจทก์ดังปรากฏตามสำนวนคดีดำที่ 79/2496 คดีแดงที่ 11/2497 จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนรับรองว่าเด็กชายประกอบเกียรติ์เป็นบุตรของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้อำนาจปกครองคงอยู่แก่โจทก์ ให้จำเลยส่งเงินให้โจทก์เพื่อช่วยเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่เด็กชายประกอบเกียรติ์จนกว่าเด็กชายประกอบเกียรติ์จะมีอายุครบ10 ปี เป็นรายปี ๆ ละ 1,000 บาท และตั้งแต่อายุ 11 ปี จนบรรลุนิติภาวะอีกปีละ 2,000 บาท เริ่มแต่ พ.ศ. 2497 เป็นต้นไป
จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้กำหนดวันที่จะให้จำเลยไปขอจดทะเบียนรับรองบุตรและชำระค่าเลี้ยงดู หนี้ยังไม่ถึงกำหนด จำเลยยังไม่ผิดนัด สิทธิเรียกร้องของโจทก์ยังไม่เกิด และปฏิเสธว่าจำเลยมิได้ละทิ้งโจทก์ จำเลยถูกโจทก์และนางทิมทุบตีขับไล่มิให้อยู่กินกับนางบุญลือ และนางบุญลือไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับจำเลย จึงเป็นเหตุให้เด็กชายประกอบเกียรติ์ยังไม่เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย เป็นความผิดของโจทก์เองโจทก์ไม่มีสิทธิจะยกเอาเหตุที่เกิดจากความผิดของตนมาฟ้องจำเลยจำเลยไม่เคยปฏิเสธว่าเด็กชายประกอบเกียรติ์ไม่ใช่บุตรของจำเลยตรงกันข้ามจำเลยได้ทำหลักฐานและแสดงออกให้รู้กันทั่วไปว่าเด็กชายประกอบเกียรติ์เป็นบุตรของจำเลย ๆ ต้องการอย่างยิ่งที่จะจดทะเบียนรับรองบุตรและรับมาเลี้ยงดูให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมของฝ่ายจำเลยซึ่งดีกว่าให้อยู่กับฝ่ายโจทก์ เงินค่าเลี้ยงดูเด็กชายประกอบเกียรติ์ที่โจทก์เรียกมามากเกินสมควร จำเลยจึงขอให้ศาลพิพากษาว่าเด็กชายประกอบเกียรติ์เป็นบุตรจำเลย และสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนเป็นบุตรจำเลยด้วย และให้อำนาจปกครองอยู่กับจำเลย
โจทก์ให้การฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องแย้งเพราะจำเลยไม่เคยร้องขอจดทะเบียนว่าเด็กชายประกอบเกียรติ์เป็นบุตรจำเลยโจทก์ไม่เคยคัดค้านหรือโต้แย้งสิทธิของจำเลยประการใด โจทก์ไม่คัดค้านที่จำเลยจะจดทะเบียนรับเด็กชายประกอบเกียรติ์เป็นบุตรแต่โจทก์สมควรเป็นผู้ปกครองเด็กชายประกอบเกียรติ์ต่อไป เพราะเหมาะสมตามธรรมชาติและพฤติการณ์ทั่ว ๆ ไป จำเลยไม่ค่อยอยู่บ้านอาชีพจำเลยต้องไปในท้องถิ่นต่าง ๆ จึงไม่สมควรเอาเด็กไปเลี้ยงดู
ในวันชี้สองสถาน โจทก์จำเลยตกลงกันว่า เด็กชายประกอบเกียรติ์เป็นบุตรของจำเลยจริง จำเลยจะได้จดทะเบียนรับรองเด็กชายประกอบเกียรติ์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยต่อไป (ซึ่งจำเลยได้จดทะเบียนตามที่ตกลงกันนี้ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2497 แล้ว) คงมีข้อโต้เถียงกันอยู่ว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้สมควรเป็นผู้ปกครองเด็กชายประกอบเกียรติ์จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ และถ้าโจทก์สมควรเป็นผู้ปกครองแล้ว จำเลยควรจะให้ค่าอุปการะแก่เด็กเป็นจำนวนเท่าใด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าเด็กชายประกอบเกียรติ์ยังเยาว์มาก โจทก์เป็นมารดาและได้เลี้ยงดูเด็กชายประกอบเกียรติ์มาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ถ้าให้เด็กชายประกอบเกียรติ์อยู่กับโจทก์จะได้รับความร่มเย็นเป็นสุขดีกว่าอยู่กับจำเลยหรือญาติของจำเลย ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กนั้นเห็นว่าที่โจทก์ขอมาไม่เกินสมควร จึงพิพากษาให้เด็กชายประกอบเกียรติ์อยู่ในความปกครองของโจทก์ ให้จำเลยจ่ายเงินแก่โจทก์เป็นค่าเลี้ยงดูเด็กชายประกอบเกียรติ์ปีละ 1,000 บาท จนกว่าเด็กจะอายุครบ 10 ปี และให้จ่ายปีละ 2,000 บาทตั้งแต่อายุ 11 ปี จนถึงบรรลุนิติภาวะ ทั้งนี้ให้จ่ายภายในวันที่ 1 มกราคมของปีที่จะต้องจ่ายนั้น เว้นแต่ปีที่ฟ้องร้องกันนี้ให้จ่ายตามส่วนเฉลี่ยภายใน 1 เดือน นับแต่ฟังคำพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมกับค่าทนาย 100 บาทแทนโจทก์ ฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาได้นั่งฟังคำแถลงการณ์ของทนายฝ่ายจำเลย และได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ปัญหาที่ว่าโจทก์หรือจำเลยสมควรจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายประกอบเกียรติ์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามธรรมดาแล้วอำนาจปกครองอยู่แก่บิดา แต่ในบางกรณีศาลอาจสั่งให้อำนาจปกครองอยู่แก่มารดาก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1538(6) ตามธรรมดามารดาผู้ให้กำเนิดแก่บุตร ย่อมจะมีความรักในบุตรของตนยิ่งกว่าผู้อื่น หากจะให้เด็กชายประกอบเกียรติ์อยู่กับจำเลย ๆ ก็ต้องเอาไปให้บิดามารดาจำเลยหรือพี่สาวจำเลยเลี้ยงดู ซึ่งอย่างไรก็ไม่อบอุ่นเท่ากับอยู่กับมารดาเอง พิเคราะห์ถึงฐานะโจทก์จำเลยก็ไม่ผิดอะไรกัน และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้เห็นว่าถ้าอยู่กับจำเลยแล้วเด็กจะได้รับการอบรมดีกว่าอยู่กับโจทก์ดังที่จำเลยอ้างเมื่อพิเคราะห์ถึงความผาสุขอันจะมีแก่เด็กทั้งในปัจจุบันและอนาคตประกอบด้วยแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าควรให้อำนาจปกครองอยู่แก่โจทก์ซึ่งเป็นมารดาจะดีกว่า ส่วนข้อที่ว่าจำเลยควรจะจ่ายเงินเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กสักเท่าใดนั้นศาลฎีกาเห็นว่าจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นกะให้เป็นรายปีนั้น เมื่อถัวเฉลี่ยเป็นรายเดือนแล้ว เดือนหนึ่งก็ตกไม่เท่าไร ไม่เกินกว่าที่จำเลยจะอุปการะได้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำเลยจ่ายให้โจทก์นั้นเป็นจำนวนสมควรแล้ว
ฉะนั้น จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย ให้จำเลยเสียค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทก์อีก 50 บาท