แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยไม่ได้โต้แย้งเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกควรเป็นเช่นไร เพียงแต่คัดลอกข้อความบางส่วนมาจากอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 32,191,657.64 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 28,409,301.62 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และคืนเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขารามคำแหง 19 เลขที่เช็ค 6645783 และ 6645782 แก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้โจทก์ชำระงิน 237,086,441.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 32,191,65.64 บาท (ที่ถูก 32,191,657.64 บาท) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 470,600.77 บาท และ 435,375.86 บาท นับแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2552 ของต้นเงิน 21,968.92 บาท และ 49,913.54 บาท นับแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 ของต้นเงิน 39,742.33 บาท 87,919.97 บาท 341,712.84 บาท 192,478.66 บาท 21,844.69 บาท 154,792.62 บาท 169,644 บาท 325,908.09 บาท 1,256,328.62 บาท 64,616.30 บาท 227,911.76 บาท 26,761.28 บาท และ 880,442.01 บาท นับแต่วันที่ 20 มกราคม 2553 และของต้นเงิน 106,643.58 บาท 714,103.98 บาท 51,277.08 บาท และ 280,980.28 บาท นับแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้คืนเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขารามคำแหง 19 เลขที่เช็ค 6645783 และ 6645782 จำนวนเงิน 9,034,157.55 บาท และ 131,333.22 บาท แก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระเงิน 28,409,298.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 20,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง จำเลยยังไม่ได้รับเงินจากเจ้าของโครงการหรือผู้ว่าจ้าง จำเลยไม่เคยได้รับใบแจ้งหนี้จากโจทก์ ผลงานที่โจทก์ขอเบิกเงินค่าจ้างต้องได้รับการตรวจและรับรองจากเจ้าหน้าที่โครงการของผู้ว่าจ้าง แต่ผลงานยังไม่มีการรับรอง โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี เพราะตามสัญญาไม่มีข้อตกลงไว้ การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัด เพราะจำเลยไม่ได้ตกเป็นผู้ผิดนัด ทั้งไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ฟ้องที่โจทก์เรียกค่าจ้างเป็นเงิน 470,600.76 บาท และ 435,357.85 บาท เป็นฟ้องที่ขาดอายุความ เพราะโจทก์มีสิทธิเรียกร้องภายในกำหนดอายุความ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2551 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 13 กรกฎาคม 2553 จึงเกินกำหนด 2 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเอาเงินประกันผลงานจำนวน 14,369,049.15 บาท เพราะขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องยังไม่ครบกำหนดระยะเวลารับประกันผลงาน โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและยกเลิกหน้าที่รับผิดในการรับประกันผลงาน เพราะการรับประกันผลงานเป็นหน้าที่ตามสัญญา การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาย่อมไม่ผูกพันจำเลย นั้น เห็นว่า เนื้อหาในฎีกาของจำเลยล้วนแต่คัดลอกมาจากข้อความที่อุทธรณ์ทั้งสิ้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวแล้วทุกข้อ เมื่อฎีกาของจำเลยมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร และไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพราะเหตุใด ที่ถูกศาลอุทธรณ์ควรวินิจฉัยอย่างไร แม้จำเลยจะมีคำขอท้ายฎีกาว่า ขอให้ศาลฎีกาได้โปรดพิจารณาพิพากษาแก้หรือกลับหรือยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม ก็ไม่อาจถือเป็นคำโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนข้อความในฎีกาที่จำเลยขอหักค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาซ่อมแซมความชำรุดบกพร่องออกจากเงินค่าจ้างและเงินประกันผลงาน หากไม่พอจะขอเรียกร้องจากเช็คค้ำประกันกับเรียกร้องให้โจทก์จ่ายค่าจ้างและอุปกรณ์รายการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการก่อสร้างตามที่กำหนดไว้ในสัญญา เงินค่าจ้างล่วงหน้าที่โจทก์หักจากจำเลยไว้ร้อยละสิบของมูลค่าตามสัญญา และค่าใช้จ่ายในการรับประกันผลงานต่อไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยออกหนังสือรับรองงาน รวมทั้งค่าปรับกรณีที่โจทก์ทำงานไม่เสร็จตามกำหนด นั้น เห็นว่า ข้อความตามรายการดังกล่าวล้วนเป็นคำขอบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในส่วนฟ้องแย้ง และจำเลยได้แสดงไว้อย่างชัดแจ้งต่อท้ายฎีกาว่า ไม่ประสงค์จะฎีกาฟ้องแย้ง อีกทั้งจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งในส่วนฟ้องแย้งขึ้นมาด้วย การที่จำเลยกล่าวอ้างถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวมาในฎีกา ส่วนที่จำเลยฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับคำฟ้องของโจทก์ โดยมิได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลย ศาลฎีกาจึงไม่อาจวินิจฉัยรายการตามคำขอบังคับในฟ้องแย้งให้ได้
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ