แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ ฉ. ลงลายมือชื่อในคำรับเป็นทนายความในใบแต่งทนายความ2 ฉบับ ซึ่งไม่มีข้อความระบุว่า ผู้ร้องทั้งสองได้แต่งตั้งให้ฉ.เป็นทนายความแต่ระบุชื่อน.เป็นทนายความเช่นนี้ฉ.จึงมิใช่ทนายความของผู้ร้องทั้งสองและไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อในคำร้องขัดทรัพย์แทนผู้ร้องทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 62 คำร้องขัดทรัพย์มีลักษณะเป็นคำฟ้องอย่างหนึ่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 1(3) จึงต้องลงลายมือชื่อของผู้ร้องทั้งสองตามมาตรา 67(5)หรือลายมือชื่อของทนายความที่ผู้ร้องแต่งตั้งตามมาตรา 62 มิฉะนั้นคำร้องดังกล่าวย่อมไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 67(5) ศาลต้องสั่งคืนคำร้องนั้นไปให้ผู้ร้องทั้งสองแก้ไขภายในระยะเวลาตามที่เห็นสมควรจะกำหนดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แต่คำร้องขัดทรัพย์ที่ลงลายมือชื่อโดยทนายความผู้ไม่มีอำนาจ มิใช่กรณีที่คำร้องไม่มีลายมือชื่อของผู้ร้องอันจะสั่งให้แก้ไขได้ตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับคำร้องนั้น.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขัดทรัพย์ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด คำร้องดังกล่าวมีนายเฉลิมพล สุครีพ ลงชื่อเป็นผู้ร้องและเป็นผู้เรียง พิมพ์ แต่ในใบแต่งทนายของผู้ร้องทั้งสองระบุแต่งตั้งให้นายนิยม ภูมิพันธ์ เป็นทนายความของผู้ร้องทั้งสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ปรากฏตามท้ายคำร้องว่านายเฉลิมพลสุครีพ เป็นผู้เรียงพิมพ์และยื่นคำร้องนี้ แต่นายเฉลิมพล มิใช่ทนายความของผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง ไม่รับคำร้องคืนค่าขึ้นศาลตั้งหมด
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าตามคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องทั้งสองลงวันที่ 14 มิถุนายน 2532 มีนายเฉลิมพล สุครีพลงชื่อเป็นผู้ร้องและเป็นผู้เรียงพิมพ์ แต่ในใบแต่งทนายความของผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 ทั้งสองฉบับซึ่งลงวันที่เดียวกันระบุว่าผู้ร้องทั้งสองแต่งตั้งให้นายนิยม ภูมิพันธ์ เป็นทนายความของผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 ดังนี้ แสดงว่าผู้ร้องทั้งสองมิได้แต่งตั้งให้นายเฉลิมพล สุครีพ เป็นทนายความ นายเฉลิมพล สุครีพ จึงไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใช้สิทธิในการลงชื่อในคำร้องขัดทรัพย์นี้แทนผู้ร้องทั้งสอง คำร้องฉบับดังกล่าวจึงไม่เป็นคำร้องที่จะพึงรับไว้พิจารณา ที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกาว่า ในใบแต่งทนายความของผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 ทั้งสองฉบับดังกล่าวนั้น ทนายความที่ลงลายมือชื่อในคำรับเป็นทนายความคือนายเฉลิมพล สุครีพ ไม่ใช่นายนิยม ภูมิพันธ์นายเฉลิมพล จึงมีอำนาจลงลายมือชื่อในคำร้องขัดทรัพย์ได้นั้นเห็นว่า ใบแต่งทนายความทั้งสองฉบับดังกล่าวพิมพ์ข้อความระบุว่าผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 ขอแต่งตั้งให้นายนิยม ภูมิพันธ์ เป็นทนายความของผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 ในคดีเรื่องนี้ และยังมีข้อความระบุว่าผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 ยอมรับผิดชอบตามที่นายนิยม ภูมิพันธ์ ทนายความจะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามกฎหมาย นอกจากนี้ด้านหลังของใบแต่งทนายความดังกล่าวแต่ละฉบับซึ่งมีคำรับเป็นทนายความก็พิมพ์ข้อความระบุว่า “ข้าพเจ้า นายนิยม ภูมิพันธ์ ทนายความ ใบอนุญาตเลขที่ 832/32… ขอเข้าเป็นทนายความของผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 เพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามหน้าที่ในกฎหมาย” ดังนี้ ย่อมแสดงว่าผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 เจตนาแต่งตั้งให้นายนิยม ภูมิพันธ์ เป็นทนายความมิได้มีเจตนาที่จะแต่งตั้งให้นายเฉลิมพล สุครีพ ซึ่งมีใบอนุญาตทนายความเลขที่ 2058/2529 ตามที่ระบุในใบแต่งทนายความฉบับลงวันที่ 20 มิถุนายน 2522 เป็นทนายความของผู้ร้องที่ 1 ที่ 2แต่ประการใดหากจะฟังว่านายเฉลิมพล ได้ลงลายมือชื่อในคำรับเป็นทนายความของผู้ร้องทั้งสองในใบแต่งทนายความทั้งสองฉบับซึ่งลงวันที่14 มิถุนายน 2532 ตามที่ผู้ร้องทั้งสองกล่าวอ้างจริง ก็ต้องถือว่านายเฉลิมพล ลงลายมือชื่อรับเป็นทนายความโดยผู้ร้องทั้งสองมิได้เจตนาแต่งตั้งให้เป็นทนายความของผู้ร้องทั้งสอง เพราะขัดกับข้อความที่ระบุไว้ในใบแต่งทนายความทั้งสองฉบับดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องทั้งสองจะอ้างว่านายเฉลิมพลเป็นทนายความของผู้ร้องทั้งสองในขณะยื่นคำร้องขัดทรัพย์ไม่ได้ ที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกาว่าเหตุที่พิมพ์ชื่อนายนิยม ภูมิพันธ์ เป็นทนายความของผู้ร้องที่ 1 ที่ 2ลงในใบแต่งทนายความทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นเพียงข้อบกพร่องเล็กน้อยเท่านั้น เห็นว่า เมื่อใบแต่งทนายความทั้งสองฉบับดังกล่าวระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 ขอแต่งตั้งให้นายนิยมภูมิพันธ์ เป็นทนายความแล้ว นายเฉลิมพล สุครีพ ก็ไม่มีสิทธิลงลายมือชื่อในคำรับเป็นทนายความของผู้ร้องทั้งสอง หากเป็นกรณีที่ผู้ร้องทั้งสองมีเจตนาแต่งตั้งให้นายเฉลิมพล สุครีพ เป็นทนายความจริงแล้วนายเฉลิมพล ก็น่าจะต้องจัดทำใบแต่งทนายความที่มีข้อความระบุว่าขอแต่งตั้ง ให้นายเฉลิมพลเป็นทนายความของผู้ร้องทั้งสองแล้วจึงลงลายมือชื่อในคำรับเป็นทนายความให้ได้ การที่นายเฉลิมพลลงลายมือชื่อในคำรับเป็นทนายความของผู้ร้องทั้งสองในใบแต่งทนายความทั้งสองฉบับดังกล่าวทั้ง ๆ ที่ในแบบ แต่งทนายความนั้นมิได้ระบุว่าผู้ร้องทั้งสองแต่งตั้งให้นายเฉลิมพล เป็นทนายความนั้น ผู้ร้องทั้งสองจะยกเอาความบกพร่องของนายเฉลิมพล มาเป็นข้ออ้างว่าผู้ร้องทั้งสองมิได้แต่งตั้งนายนิยมเป็นทนายความ แต่มีเจตนาตั้งนายเฉลิมพล เป็นทนายความของผู้ร้องทั้งสองหาได้ไม่ ข้ออ้างของผู้ร้องทั้งสองจึงไม่มีเหตุผลให้รับฟังได้ และข้ออ้างดังกล่าวมีแต่จะก่อให้เกิดความยุ่งยากในการดำเนินกระบวนพิจารณาและอาจเกิดความเสียหายแก่คู่ความหรือบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตได้ เพราะไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าใครเป็นทนายความผู้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนผู้ร้องทั้งสองที่แท้จริง นอกจากนี้ยังได้ความว่า นายเฉลิมพลเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย กล่าวคือเป็นทนายความชั้น 1ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในกฎหมายวิธีพิจารณาความจึงต้องใช้ความระมัดระวังและความละเอียดรอบครอบ เป็นพิเศษยิ่งกว่าบุคคลที่มิใช่ทนายความ การที่นายเฉลิมพล ลงลายมือชื่อในคำรับเป็นทนายความในใบแต่งทนายความทั้งสองฉบับดังกล่าวซึ่งไม่มีข้อความระบุว่าผู้ร้องทั้งสองได้แต่งตั้งให้นายเฉลิมพล เป็นทนายความ เช่นนี้นายเฉลิมพลจึงมิใช่ทนายความของผู้ร้องทั้งสอง และไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อในคำร้องขัดทรัพย์แทนผู้ร้องทั้งสองได้ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 อนึ่ง คำร้องขัดทรัพย์มีลักษณะเป็นคำฟ้องอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) จึงต้องลงลายมือชื่อของผู้ร้องทั้งสองตามมาตรา 67 (ก)(5) หรือลายมือชื่อของทนายความที่ผู้ร้องทั้งสองแต่งตั้งตามมาตรา 62 หากคำร้องนั้นไม่ได้ลงลายมือชื่อของผู้ร้องทั้งสองหรือของทนายความผู้มีอำนาจก็ถือว่าคำร้องนั้นไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 67(5)เท่านั้น ศาลต้องสั่งคืนคำร้องนั้นไปให้ผู้ร้องทั้งสองแก้ไขภายในระยะเวลาตามที่เห็นสมควรจะกำหนดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่งแต่กรณีนี้คำร้องขัดทรัพย์มีผู้ลงลายมือชื่อ แต่เป็นลายมือชื่อของนายนายเฉลิมพลซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีอำนาจดังวินิจฉัยข้างต้นแล้วจึงมิใช่เป็นกรณีที่คำร้องไม่มีลายมือชื่อของผู้ร้องตามมาตรา 67(5)อันจะสั่งให้แก้ไขได้ตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน.