คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1645/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา 15 วัน ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคท้ายทั้งกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดนั้นก็เป็นเวลาที่สมควรการที่โจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ตามมาตรา 132(1) ประกอบด้วยมาตรา 246 ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ได้ไปเสียค่าใช้จ่ายในการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ไว้แล้วนั้น ถ้าแม้ข้ออ้างของโจทก์จะเป็นจริงก็ไม่ทำให้โจทก์หมดหน้าที่ ที่จะต้องจัดการนำส่งตามคำสั่งของศาลชั้นต้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันคืนรถยนต์ให้แก่โจทก์หากไม่สามารถคืนได้ให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 171,000 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งหกให้การทำนองเดียวกัน ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์อินเตอร์เครดิตแอนด์ทรัสต์ จำกัด ได้ยื่นคำร้องว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ดังกล่าว ขอให้คืนรถยนต์แก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า รถยนต์หมายเลขทะเบียน 5ค-0456กรุงเทพมหานคร เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสอด ให้จำเลยทั้งหกคืนรถยนต์ดังกล่าวแก่ผู้ร้องสอด ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์และให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายใน 15 วัน และได้แจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบแล้ว การที่โจทก์ไม่ดำเนินการตามคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2), 132(1)ประกอบด้วยมาตรา 246 ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความของศาลอุทธรณ์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่8 พฤษภาคม 2529 โจทก์ยื่นอุทธรณ์ วันที่ 12 พฤษภาคม 2529ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับอุทธรณ์ สำเนาให้อีกฝ่ายโดยให้อุทธรณ์นำส่งภายใน 15 วัน หากส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 15 วันนับแต่วันส่งไม่ได้และได้แจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบแล้วโดยทนายโจทก์เป็นผู้รับหมายแจ้งคำสั่งเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2529ถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 16มิถุนายน 2529 หัวหน้างานเดินหมายและประกาศของกรมบังคับคดีรายงานว่าพ้นกำหนด 15 วัน แล้วโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ไม่มานำส่ง ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าว เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา 15 วัน ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะสั่งได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคท้ายทั้งกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดนั้นก็เป็นเวลาที่สมควรการที่โจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะจำหน่ายคดีออกจากสารบบความได้ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 132(1) ประกอบด้วยมาตรา 246ส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฎีกาว่า ได้ไปเสียค่าใช้จ่ายในการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ไว้ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2529 แล้วนั้นถึงแม้ข้ออ้างของโจทก์จะเป็นจริงก็ไม่ทำให้โจทก์หมดหน้าที่ที่จะต้องจัดการนำส่งตามคำสั่งของศาลชั้นต้น”
พิพากษายืน

Share