แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทางเดินรถในถนนพหลโยธินทั้งทางด้านขาเข้าและขาออกจากกรุงเทพมหานครแบ่งเป็น 2 ช่องเดินรถ ระหว่างทางเดินรถขาเข้ากับขาออกจะเว้นช่องว่างไว้เป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นทางข้ามให้รถแล่นเลี้ยวไปสู่ทางเดินรถอีกด้านหนึ่งได้ รถยนต์บรรทุกแล่นในทางเดินรถด้านขาออก ถ้าหากจะเลี้ยวขวาเข้าไปในทางเดินรถด้านขาเข้า ตามปกติจะต้องแล่นในช่องเดินรถทางขวาเพื่อจะไม่ต้องเลี้ยวตัดหน้ารถคันอื่นการที่รถยนต์บรรทุกแล่นในช่องเดินรถทางซ้ายของทางเดินรถขาออกและเลี้ยวขวาข้ามช่องเดินรถทางขวาเพื่อจะเข้าไปในช่องว่างทางข้ามไปสู่ทางเดินรถขาเข้าโดยกระชั้นชิดและกะทันหันตัดหน้ารถยนต์เก๋งย่อมทำให้รถยนต์เก๋งไม่สามารถจะหยุดได้ทัน ถือได้ว่าคนขับรถยนต์บรรทุกกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง เพราะถ้าหากรถยนต์บรรทุกจะใช้ความระมัดระวังไม่รีบเลี้ยวขวาโดยทันทีโดยขับรถตรงไปก่อน ขอทางชิดขวาแล้วไปเลี้ยวขวาในช่องว่างทางข้ามช่องต่อไปก็ย่อมจะทำได้โดยปลอดภัย ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าฝ่ายรถยนต์เก๋งประมาทเลินเล่ออย่างใด ดังนี้ถือว่าคนขับรถยนต์บรรทุกเป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว โจทก์เป็นผู้รับประกันภัย ฐานะของโจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 สิทธิของโจทก์ย่อมเกิดมีขึ้นนับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นต้นไปจึงชอบที่จะคิดดอกเบี้ยให้นับแต่วันชำระค่าสินไหมทดแทน แต่เมื่อทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าได้ชำระค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวทั้งหมดหรือครั้งสุดท้ายไปเมื่อใดแน่ ศาลเห็นสมควรกำหนดให้แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2527 นายสมควร สมตัวขับรถยนต์เก๋งคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้จากนายชูเกียรติทองนพเนื้อ ไปตามถนนพหลโยธินถึงบริเวณหน้าตลาดประตูน้ำ-พระอินทร์ระหว่างกิโลเมตรที่ 50-51 ได้มีบุคคลไม่ทราบชื่อและหลบหนีไปแล้วขับรถยนต์บรรทุกแล่นออกจากไหล่ทางด้านซ้ายเข้ามาในผิวจราจรเพื่อจะตัดผิวจราจรไปยังช่องกลับรถเพื่อจะกลับรถมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานครด้วยความเร็วสูงและไม่ดูเสียก่อนว่าจะมีรถแล่นมาทางด้านหลังหรือไม่ อันเป็นประมาทเลินเล่อ พอดีกับนายสมควรขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้แล่นมาถึงในระยะกระชั้นชิดห้ามล้อไม่ทัน เป็นเหตุให้ชนกันขึ้น รถคันที่โจทก์รับประกันภัยได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 141,269 บาท โจทก์จัดการซ่อมแซมและเรียกให้จำเลยที่ 1 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2ผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกและร่วมกันเป็นนายจ้างของผู้ขับรถกับจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แล้ว แต่ต่างเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 141,269 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันละเมิดเป็นต้นไปจนถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 151,864 บาทและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวน 141,269 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้เป็นนายจ้างของบุคคลซึ่งไม่ทราบชื่อและหลบหนีไปให้ขับรถยนต์บรรทุกไปประกอบการงานในทางการที่จ้าง เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของนายสมควรผู้ขับรถยนต์เก๋งแต่เพียงผู้เดียวโดยขับรถด้วยความเร็วสูง ค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกินจำนวน 50,000 บาทโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยนับตั้งแต่วันทำละเมิด
จำเลยที่ 3 ให้การว่า นายชูเกียรติ ทองนพเนื้อ ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีส่วนได้เสียในรถยนต์เก๋ง โจทก์จ่ายเงินค่าซ่อมไปเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง โจทก์จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิได้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้เป็นนายจ้างผู้ที่ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุและเหตุที่เกิดขึ้นเป็นความประมาทเลินเล่อของนายสมควรแต่เพียงผู้เดียว ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นมีจำนวนไม่เกิน 50,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เหตุเกิดจากความประมาทของนายสมควร สมตัว มิใช่เกิดจากความประมาทของผู้ขับรถยนต์บรรทุกพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากที่คู่ความนำสืบไม่โต้แย้งกันว่า ถนนพหลโยธินที่เกิดเหตุขาออกจากกรุงเทพมหานครแบ่งเป็นสองช่องเดินรถ ขาเข้าก็แบ่งเป็นสองช่องเดินรถเช่นเดียวกันและระหว่างขาเข้ากับขาออกจะเว้นช่องว่างไว้เป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นทางข้ามให้รถแล่นเลี้ยวจากทางขาออกไปสู่ขาเข้าและจากขาเข้ามาสู่ขาออกได้ รถยนต์บรรทุกแล่นในช่องเดินรถทางซ้ายของถนนขาออกและเลี้ยวขวาข้ามช่องเดินรถทางขวาของถนนขาออกตัดหน้ารถยนต์เก๋งซึ่งแล่นอยู่ในช่องเดินรถทางขวาเพื่อที่จะเข้าไปในช่องว่างทางข้ามไปสู่ถนนฝั่งขวามือตามปกติถ้าหากรถยนต์บรรทุกจะเลี้ยวขวาจะต้องแล่นในช่องเดินรถทางขวาเพื่อจะไม่ต้องไปเลี้ยวตัดหน้ารถคันอื่นการที่รถยนต์บรรทุกแล่นในช่องเดินรถทางซ้ายแล้วเลี้ยวตัดหน้ารถยนต์เก๋งโดยกระชั้นชิดและกะทันหันย่อมทำให้รถยนต์เก๋งไม่สามารถจะหยุดได้ทัน ถือได้ว่าคนขับรถยนต์บรรทุกกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง ถ้าหากรถยนต์บรรทุกจะระมัดระวังโดยไม่รีบเลี้ยวขวาทันทีโดยขับรถยนต์ตรงไปก่อน ขอทางชิดขวาแล้วไปเลี้ยวขวาในช่องว่างทางข้ามช่องต่อไปก็ย่อมจะทำได้โดยปลอดภัย พยานจำเลยไม่มีผู้ใดรู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเหตุใดรถยนต์บรรทุกฝ่ายจำเลยจะต้องเลี้ยวขวากะทันหันในขณะแล่นอยู่ในช่องเดินรถทางซ้ายตัดหน้ารถยนต์เก๋ง ที่จำเลยอ้างว่าคนขับรถยนต์เก๋งฝ่ายโจทก์รับสารภาพว่าขับรถยนต์โดยประมาทและยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับไปแล้วแสดงว่าโจทก์เป็นฝ่ายประมาทนั้น นายสมควรซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์เก๋งฝ่ายโจทก์เบิกความว่า พนักงานสอบสวนให้ลงชื่อในบันทึกเรื่องการรับเงินทดแทนค่ารักษาพยาบาล ไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าเปรียบเทียบปรับในความผิดทางอาญา และไม่ได้เสียเงินค่าปรับด้วย ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าคนขับรถยนต์เก๋งเป็นฝ่ายประมาท พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ศาลฎีกาเชื่อว่าคนขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียวสำหรับเรื่องค่าเสียหายในการซ่อมรถยนต์เก๋งของโจทก์นั้นสมควรบังคับให้ตามโจทก์ขอ แต่โจทก์ผู้รับประกันภัย ฐานะของโจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 สิทธิของโจทก์ย่อมเกิดมีขึ้นนับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นต้นไปจึงชอบที่จะคิดดอกเบี้ยให้นับแต่วันชำระค่าสินไหมทดแทน ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าได้จ่ายเงินค่าซ่อมดังกล่าวแล้วข้างต้นทั้งหมดหรือครั้งสุดท้ายไปเมื่อใดแน่ จึงเห็นควรกำหนดดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 141,269 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์