แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การไม่ปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติราชการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของทางราชการนั้น อาจทำให้ข้าราชการต้องรับผิดในทางระเบียบวินัยก็จริง แต่เหตุเพียงเท่านี้หาอาจทำให้ข้าราชการผู้นั้นต้องรับผิดเพราะละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 เสมอไปไม่ เมื่อทางราชการฟ้องให้ข้าราชการผู้นั้นร่วมรับผิดในความเสียหายซึ่งเกิดจากการละเมิด โจทก์จะต้องสืบแสดงให้ปรากฏว่าการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัยนั้น เป็นผลโดยตรงที่ทำให้โจทก์ต้องเสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงดาว มีหน้าที่รักษาทรัพย์สินของทางราชการที่เก็บหรือรักษาไว้ที่สถานีตำรวจให้ปลอดภัยร่วมกับเจ้าพนักงานอื่น จำเลยมีหน้าที่จัดให้มีนายร้อยตำรวจเวร เพื่อให้ประจำรักษาการณ์อยู่ณ สถานีตำรวจสำหรับควบคุมดูแลรักษาเหตุการณ์ร่วมกับนายสิบเวรเสมียนเวรและตำรวจยาม และมีหน้าที่ตรวจตราควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวด้วย แต่จำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อปฏิบัติราชการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของทางราชการตำรวจโดยจำเลยมิได้จัดให้มีนายร้อยเวรประจำสถานี ฯ และมิได้ไปตรวจตราควบคุมการปฏิบัติราชการ ฯ เป็นเหตุให้พลตำรวจศรีมูลตำรวจยามและพลตำรวจบุญรอดเสมียนเวรประจำสถานีในขณะนั้นร่วมกันลักเงินของทางราชการแผนกต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง และเก็บรักษาไว้ในกำปั่นเก็บเงินของทางราชการบนสถานีซึ่งอยู่ในความดูแลและรับผิดชอบของจำเลยร่วมกับเจ้าพนักงานอื่น ต่อมาทางราชการได้เงินคืนบางส่วนแล้ว คณะกรรมการสอบสวนกำหนดให้จำเลยและเจ้าพนักงานอื่นแบ่งกันใช้เงินที่ยังขาดอยู่ตามส่วน โดยให้จำเลยใช้ 21,016.60 บาท แต่จำเลยไม่ยอมใช้ จึงขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กระทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อผิดต่อกฎหมาย อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับแล้วตามระเบียบข้อบังคับ จำเลยไม่ได้รับผิดชอบถึงทรัพย์สินที่อยู่ภายในกำปั่นหรือตู้นิรภัยด้วย จำเลยได้จัดตำรวจเผ้ารักษาตามหน้าที่แล้ว เมื่อคนร้ายลักทรัพย์ในกำปั่นหรือตู้นิรภัยไปโดยรอยดวงตราเป็นปกติเรียบร้อย จำเลยก็ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับแล้ว การที่ตำรวจผู้รักษากำปั่นลักเงินไปโดยจำเลยไม่ได้ร่วมด้วยเป็นการนอกเหนือความรับผิดในหน้าที่ของจำเลยจำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินด้วย ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในเรื่องจงใจทำให้โจทก์ต้องเสียหายนั้นคดีโจทก์ไม่มีทางที่จะส่อแสดงว่าจำเลยได้สมรู้ร่วมคิดหรือสนับสนุนให้ผู้ร้ายทำการลักเงินในกำปั่นเก็บเงินนั้นไป ประเด็นคงมีแต่ว่าจำเลยได้ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้คนร้ายลักทรัพย์นั้นไปได้หรือไม่เท่านั้น จริงอยู่การไม่ปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติราชการฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับและคำสั่งของทางราชการนั้น อาจทำให้จำเลยต้องรับผิดต่อทางราชการในทางระเบียบวินัย แต่เหตุเพียงเท่านี้หาอาจทำให้จำเลยต้องรับผิดเพราะละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 เสมอไปไม่ โจทก์จะต้องสืบแสดงให้ปรากฏว่า การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัยนั้นเป็นผลโดยตรงที่ทำให้โจทก์ต้องเสียหายศาลฎีกาพิเคราะห์การกระทำของจำเลยที่โจทก์กล่าวอ้างแล้ววินิจฉัยว่า คดีโจทก์ยังแสดงไม่ได้ว่าความบกพร่องในหน้าที่ของจำเลยเป็นเหตุโดยตรงที่คนร้ายลักเอาเงินไปได้ กล่าวคือ คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ต้องเสียหายในทรัพย์สิน อันจะเป็นการทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ตามที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยต้องรับผิด
พิพากษายืน