แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานที่ดินใช้ตรายางประทับที่ด้านหลังหนังสือสัญญาขายฝากมีข้อความว่า “ข้าพเจ้าผู้รับซื้อฝากขอยืนยันว่า ในการทำนิติกรรมขายฝากที่ดินรายนี้ ข้าพเจ้าผู้รับซื้อฝากได้ติดต่อกับเจ้าของที่ดินโดยตรง ได้มีการตกปากลงคำกันมาอย่างแน่นอนแล้วที่จะมาทำนิติกรรมสัญญาและขอจดทะเบียนรายนี้ หากเกิดการผิดพลาดเพราะผิดตัวเจ้าของผู้ขายฝาก ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบเองทั้งสิ้น (ลงชื่อ) ผู้รับซื้อฝาก” และผู้รับซื้อฝากลงลายมือชื่อไว้ นั้น เมื่อปรากฏว่าบันทึกดังกล่าวเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งกรมที่ดินเพื่อป้องกันมิให้กรมที่ดินและเจ้าพนักงานที่ดินถูกฟ้องให้รับผิดทางแพ่ง จึงมิใช่บันทึกตามนัยแห่งกฎหมายหรือตามหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แม้ความจริงผู้ขายฝากกับผู้รับซื้อฝากจะไม่รู้จักกัน ไม่เคยได้ติดต่อตกลงกันเลย ผู้รับซื้อฝากก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ลงชื่อมอบหมายในใบมอบฉันทะให้จำเลยที่ ๒ แบ่งขายที่ดินแปลงหนึ่งโดยไม่ได้กรอกข้อความไว้ แต่จำเลยที่ ๒ กลับกรอกข้อความลงในใบมอบฉันทะนั้นทำนิติกรรมขายฝากที่ดินทั้งแปลงให้จำเลยที่ ๑ จนหลุดเป็นสิทธิแก่จำเลยที่ ๑ โจทก์ได้ดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ ๒ ฐานปลอมหนังสือ ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก คดีถึงที่สุดไปแล้ว เพื่อให้การจดทะเบียนขายฝากและทำนิติกรรมขายฝากดังกล่าวเป็นผลสำเร็จ จำเลยที่ ๑ มีเจตนาทุจริตนำความอันเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานีว่า ในการทำนิติกรรมขายฝากนั้น จำเลยที่ ๑ ได้ติดต่อกับโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโดยตรง และได้มีการตกลงกันอย่างแน่นอนแล้วที่จะทำนิติกรรมสัญญาและจดทะเบียนรายนี้ หากเกิดการผิดพลาด จำเลยที่ ๑ ขอรับผิดทั้งสิ้น ความจริงโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยติดต่อตกลงกันแต่อย่างใด ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อทำนิติกรรมและจดทะเบียนขายฝาก การกระทำดังกล่าวยังเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของโจทก์ เป็นการกระทำไม่สุจริต โจทก์ขอถือเอาคำฟ้องเป็นการบอกล้างนิติกรรม นิติกรรมและการขายฝากที่ดินดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ โจทก์ต้องเสียหายเป็นเงิน ๓๕,๐๐๐ บาท จึงขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗ และพิพากษาว่าการจดทะเบียนการขายฝากเป็นโมฆะ ให้จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินคืนให้โจทก์ ใช้ค่าเสียหาย ๓๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธคดีส่วนอาญา ต่อสู้ว่าหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ทำให้แก่จำเลยที่ ๒ ได้กรอกข้อความครบถ้วนถูกต้อง ตรงกับเจตนาที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจนั้นคือขายฝากทั้งแปลง หากจำเลยที่ ๒ กรอกหนังสือมอบอำนาจผิดเจตนาของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ก็ไม่รู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดและเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์อย่างร้ายแรงเอง ทั้งจำเลยที่ ๑ รับซื้อฝากโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒ ทั้งคดีส่วนแพ่งและส่วนอาญา
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ร่วมกันแจ้งความเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ ๒ เอาที่ดินไปขายฝากกับจำเลยที่ ๑ โดยไม่มีอำนาจ จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีอำนาจจะยึดถือเอาที่ดินของโจทก์ไว้ นิติกรรมขายฝากเป็นโมฆะ พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗ จำคุก ๓ เดือน นิติกรรมขายฝากที่ดินเป็นโมฆะ ให้เจ้าพนักงานที่ดินเพิกถอนเสีย ให้จำเลยที่ ๑ นำโฉนดมาวางศาลภายใน ๑๕ วันเพื่อโจทก์รับไปติดต่อเจ้าพนักงานเพื่อจดทะเบียนเพิกถอนโดยจำเลยที่ ๑ เสียค่าธรรมเนียมในการเพิกถอนทั้งหมด และให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๕,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดทางอาญาดังฟ้อง จำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์เองประมาทเลินเล่อ พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๓๖๘๖ ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่ โดยรับมรดกมาจากบิดามารดา ได้มอบโฉนดไว้กับน้องชายซึ่งมีนางวงษ์ทอง จำเลยที่ ๒ เป็นภรรยา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ โจทก์มีความประสงค์จะแบ่งขายที่ดินแปลงนี้จำนวน ๑ ไร่ จึงได้เซ็นชื่อในใบมอบฉันทะที่ยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้นางวงษ์ทองไปจัดการดำเนินการให้แทนโจทก์ แต่นางวงษ์ทองกลับกรอกข้อความลงในใบมอบอำนาจเป็นว่าโจทก์มอบอำนาจให้นางวงษ์ทองขายฝากที่ดินโฉนดดังกล่าวทั้งแปลง แล้วนำไปขายฝากจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาและจดทะเบียนปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๕ ด้านหลังเอกสารหมาย จ.๕ มีตัวอักษรโดยใช้ตรายางประทับตัวอักษรสีแดงมีข้อความว่า “ข้าพเจ้าผู้รับซื้อฝากขอยืนยันว่าในการทำนิติกรรมขายฝากที่ดินรายนี้ ข้าพเจ้าผู้รับซื้อฝากได้ติดต่อกับเจ้าของที่ดินโดยตรงได้มีการตกปากลงคำกันอย่างแน่นอนแล้วที่จะทำนิติกรรมสัญญาและขอจดทะเบียนรายนี้ หากเกิดการผิดพลาดเพราะผิดตัวเจ้าของผู้ขายฝาก ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบเองทั้งสิ้น (ลงชื่อ) นางสำเนียง ฟ้ากระจ่าง ผู้รับซื้อฝาก” ต่อมาปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๓ โจทก์จึงทราบเรื่อง ได้บอกให้นางวงษ์ทองไปไถ่ถอน แต่ในที่สุดที่ดินหลุดเป็นสิทธิแก่จำเลยที่ ๑ โจทก์จึงฟ้องนางวงษ์ทองฐานปลอมเอกสาร ศาลชั้นต้นจำคุก ๓ เดือน คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ไปตรวจดูหลักฐานการจดทะเบียนขายฝากที่สำนักงานที่ดิน ปรากฏว่านางวงษ์ทองได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยบันทึกด้านหลังเอกสาร จ.๕ ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ติดต่อพูดตกลงกับโจทก์เรียบร้อยในการขายฝากรายนี้ ความจริงโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่เคยรู้จักและไม่เคยติดต่อตกลงกันเลย
ปัญหาว่า บันทึกด้านหลังเอกสาร จ.๕ ดังกล่าวที่จำเลยที่ ๑ ลงชื่อไว้ท้ายบันทึกจะเป็นการแจ้งความเท็จหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำเบิกความของนายประจวบ วัชรตระกูล เจ้าพนักงานที่ดินผู้ลงชื่อในสัญญาขายฝากเอกสาร จ.๕ เบิกความว่า การที่มีการประทับตรายางมีข้อความว่า ผู้รับซื้อฝากคือจำเลยที่ ๑ รับรองว่าได้ติดต่อตกลงกับเจ้าของที่ดินแล้วนั้น ก็เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งกรมที่ดินที่ ๕/๒๕๐๗ ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๗ เรื่องบันทึกคำยินยอมรับผิดชอบของผู้ซื้อที่ดินก่อนนั้นไม่มีการบันทึกเช่นนี้ เหตุที่กรมที่ดินออกคำสั่งที่ ๕/๒๕๐๗ ก็เพื่อป้องกันตนไม่ให้ถูกฟ้องให้รับผิดทางแพ่ง เพราะเคยถูกฟ้องเสมอ ๆ แม้จะมีคำสั่งกรมที่ดินที่ ๕/๒๕๐๗ นายประจวบก็ว่ามีบางกรณีเจ้าพนักงานอาจจะไม่ปฏิบัติตามได้สุดแล้วแต่ท้องถิ่น (เป็นแห่ง ๆ) ไป หากมีกรณีผิดพลาดเจ้าพนักงานรับผิดชอบเอง ดังนี้บันทึกที่เกิดจากเจ้าหน้าที่ประทับตรายางเป็นอักษรสีแดง ให้จำเลยที่ ๑ เซ็นชื่อดังกล่าวข้างต้นนั้น มิใช่บันทึกตามนัยแห่งกฎหมายหรือตามหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เป็นบันทึกเพื่อป้องกันมิให้กรมที่ดินและเจ้าพนักงานที่ดินต้องถูกฟ้องร้องให้รับผิดในทางแพ่ง และตามเนื้อความแห่งบันทึกนั้นก็ว่า ถ้าเกิดความผิดพลาด เพราะผิดตัวเจ้าของ จำเลยที่ ๑ ขอรับผิดชอบเองทั้งสิ้นเป็นการผลักความรับผิดให้จำเลยที่ ๑ เมื่อมีการผิดพลาดเกิดขึ้นเช่นนี้ แม้ว่าความจริงโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จะไม่รู้จักกัน ไม่เคยได้ติดต่อตกลงกันเลย จำเลยที่ ๑ ก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จดังโจทก์ฟ้อง
และได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปด้วยว่า ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนากระทำผิดทางอาญา และฟังว่าจำเลยที่ ๑ กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
พิพากษายืน.