คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1832/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ยางล้อหน้าด้านขวามือของรถยนต์ที่จำเลยขับอยู่ในสภาพเก่า และบรรยายว่าจำเลยขับรถลงเนินด้วยความเร็วสูงนั้น เป็นการบรรยายฟ้องประกอบข้อหาที่จำเลยขับรถด้วยความประมาทฟ้องโจทก์ได้บรรยายพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) แล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่ายางล้อหน้าด้านขวาของรถยนต์ที่จำเลยขับมีสภาพยางเก่าอย่างไรฟ้องโจทก์ก็สมบูรณ์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยได้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อ บรรทุกไม้แปรรูปไปตามถนนเพชรเกษมด้วยความประมาทโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่ายางรถยนต์คันดังกล่าวล้อหน้าด้านขวามืออยู่ในสภาพเก่าอันอาจเกิดอันตรายได้ หากนำไปใช้บรรทุกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากอันอาจเกิดอันตรายแก่ยางรถได้ เมื่อขับมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อดังกล่าวไปด้วยความเร็วสูงบริเวณที่เกิดเหตุสองข้างทางไม่มีไฟฟ้าและเป็นทางลาดลงจากเนินซึ่งยากแก่การบังคับรถและหยุดรถให้ทันท่วงทีเมื่อมีเหตุจำเป็นเป็นเหตุให้ยางรถล้อหน้าด้านขวาซึ่งอยู่ในสภาพเก่าอันอาจเกิดอันตรายได้ดังกล่าวแล้ว และได้รับน้ำหนักบรรทุกมากระเบิดขึ้นรถยนต์บรรทุกสิบล้อที่จำเลยขับเสียหลักแล้ววิ่งเข้าไปในทางเดินรถของรถยนต์กระบะสี่ล้อคันหมายเลขทะเบียน 20-0523 พัทลุง ที่มีนายอนุชิต เพ็งพัตรา ขับสวนมา แล้วพุ่งเข้าชนรถยนต์กระบะสี่ล้อดังกล่าวอย่างแรง เป็นเหตุให้นายอนุชิตซึ่งเป็นผู้ขับถึงแก่ความตายและผู้โดยสารมาในรถยนต์กระบะคันดังกล่าว ได้รับอันตรายแก่กายรถยนต์กระบะที่ผู้ตายขับขี่เสียหายทั้งคันใช้การไม่ได้ หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยยังได้หลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ตายและผู้ที่ได้รับอันตรายแก่กายทั้งสามคนตามสมควร พร้อมทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 390, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 78, 157, 160
จำเลยให้การรับว่าเป็นคนขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อตามฟ้องจริงแต่ไม่ได้ขับรถโดยประมาทเนื่องจากขับรถไปในทางเดินรถของจำเลยหากแต่ผู้ตายขับรถประมาทเข้าไปชนรถที่จำเลยขับมา หลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยได้หลบหนีมิได้แจ้งเหตุให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุก 4 ปี และมีความผิดฐานหลบหนีไม่ให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2525 มาตรา 78, 160 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 1 เดือน จำเเลยให้การรับสารภาพในข้อหานี้เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก15 วัน รวมลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 4 ปี 15 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นเห็นว่าฎีกาจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218วรรคแรก สั่งไม่รับฎีกาจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับฎีกา ศาลฎีกาสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยอ้างว่าที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า ยางล้อหน้าด้านขวามืออยู่ในสภาพเก่า ซึ่งคำว่าเก่าอาจจะเป็นยางที่เก็บไว้นานหรือไม่เคยได้ใช้ หรือยางที่ใช้มาแล้วจนไม่มีดอก หรือขับลงเนินด้วยความเร็วสูง ไปชนรถยนต์กระบะของผู้ตาย ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาและหลงต่อสู้คดีจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม เห็นว่า ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า ยางล้อหน้าด้านขวามือของรถยนต์ที่จำเลยขับอยู่ในสภาพเก่าและบรรยายว่าจำเลยขับรถลงเนินด้วยความเร็วสูงนั้น เป็นการบรรยายฟ้องประกอบข้อหาที่จำเลยขับรถด้วยความประมาท ฟ้องโจทก์ได้บรรยายพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า ยางล้อหน้าด้านขวาของรถยนต์ที่จำเลยขับมีสภาพเก่าอย่างไร ฟ้องโจทก์ก็สมบูรณ์…”
พิพากษายืน.

Share