คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การครอบครองโดยปรปักษ์นั้น มิใช่เพียงแต่ยึดถือเพื่อตนเองอย่างสิทธิครอบครองเท่านั้น ยังจะต้องมีการยึดถือครอบครองด้วยเจตนาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นด้วย ส่วนจะมีเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องอยู่ภายในจิตใจ ต้องอาศัยพฤติการณ์ต่างๆ แห่งการยึดถือครอบครองมาประกอบว่าพอจะเป็นการยึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของได้หรือไม่ สำหรับการครอบครองที่ดินพิพาทของ ม.ย. และจำเลย ก่อนวันที่ 8 สิงหาคม 2509 ไม่ได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่มีเอกสารสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ กรณีจึงรับฟังได้ว่าการครอบครองที่ดินพิพาทในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ ส่วนการครอบครองนับแต่วันที่ดินพิพาทมีโฉนดที่ดินแล้ว ก็ไม่ปรากฏถึงพฤติการณ์แห่งการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยผู้ครอบครองเคยแสดงออก เช่น หวงกันมิให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือดูแลรักษาที่ดินพิพาทไว้เพื่อประโยชน์แห่งตนและปฏิเสธต่อการอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของต่อบุคคลอื่นเป็นต้น ดังนั้น การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์และห้ามเกี่ยวข้อง หากไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจท์ 31,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 1,000 บาท นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายออกจากที่ดินโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและมีคำพิพากษาแสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้โจทก์ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เนื้อที่ 200 ตารางวา พร้อมทั้งแบ่งแยกโฉนดเลขที่ 3369 ตำบลคลองสอง (คลอง 2 ออก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ออกเป็นโฉนดใหม่หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้มอบอำนาจให้นางฮะ ดำเนินคดีแทน จำเลยอยู่ในที่ดินโจทก์เนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวา ในฐานะผู้อาศัยสิทธิการเช่าของนายซันผู้เป็นญาติของจำเลย จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาจำเลยถึงแก่กรรม นางฮะ บุตรสาวของจำเลยยื่นคำร้องขอเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้รื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 3369 ตำบลคลองสอง (คลอง 2 ออก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 15,500 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 500 บาท นับถัดจากเดือนฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 ตุลาคม 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์กำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ยกฟ้องแย้ง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3369 ตำบลคลองสอง (คลอง 2 ออก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 36 ตารางวา ตามแนวเขตเส้นสีเหลืองในแผนที่วิวาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์มอบอำนาจให้ นายสมศักดิ์ ผู้เป็นบิดาฟ้องและดำเนินคดีแทน จำเลยมอบอำนาจให้นางฮะ ผู้เป็นบุตรสาวดำเนินคดีแทน บ้านเลขที่ 3 หมู่ 12 ตำบลคลองสอง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 3369 ตำบลคลองสอง (คลอง 2 ออก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) ซึ่งออกโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2509 ให้แก่นางสาวอิ่ม หรือนางอิ่ม ผู้เป็นบุตรสาวของนายแก้วกับนางหรุ่ม ต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2511 นางอิ่มขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายสมศักดิ์ แล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2517 นายสมศักดิ์จดทะเบียนให้ที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยว่า จำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างมีนายมาน ผู้เป็นโต๊ะอิหม่าน กับนางเฮาะ ภรรยาของจำเลยเป็นพยานต่างเบิกความได้ความว่านายมัดและนางเยาะผู้เป็นบิดามารดาของนางเฮาะปลูกบ้านเลขที่ 3 ในที่ดินพิพาทจนถึงวันฟ้องเป็นเวลานานประมาณ 60 ปี นางเฮาะเกิดที่บ้านนี้จนนางเฮาะอายุ 15 ปี ได้แต่งงานกับจำเลยที่บ้านนี้แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น 1 ปี และกลับมาอยู่ที่บ้านนี้โดยมิได้ย้ายไปไหนอีก ทั้งนี้เป็นการครอบครองโดยสงบและเปิดเผยมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่เพราะการครอบครองโดยปรปักษ์นั้น มิใช่เพียงแต่ยึดถือเพื่อตนเองอย่างสิทธิครอบครองเท่านั้น ยังจะต้องมีการยึดถือครอบครองด้วยเจตนาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นด้วยส่วนจะมีเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องอยู่ภายในจิตใจ ต้องอาศัยพฤติการณ์ต่างๆ แห่งการยึดถือครอบครองมาประกอบว่าพอจะเป็นการยึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของได้หรือไม่ สำหรับการครอบครองที่ดินพิพาทของนายมัด นางเยาะและจำเลยก่อนวันที่ 8 สิงหาคม 2509 ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่มีเอกสารสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ กรณีจึงรับฟังได้ว่าการครอบครองที่ดินพิพาทในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ ส่วนการครอบครองนับแต่วันที่ดินพิพาทมีโฉนดที่ดินแล้ว กรณีนี้ก็ไม่ปรากฏจากพยานคนใดของจำเลยที่แสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์แห่งการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ปรากฏจำเลยผู้ครอบครองเคยแสดงออก เช่น หวงกันมิให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือดูแลรักษาที่ดินพิพาทไว้เพื่อประโยชน์แห่งตนและปฏิเสธต่อการอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของต่อบุคคลอื่นเป็นต้น แต่นางเฮาะกลับเบิกความว่า นายไสวผู้ใหญ่บ้านกับนายลีเคยมาติดต่อขอให้เงินเพื่อให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาท นางเฮาะเพียงแต่บอกว่าไม่เอาเงินและอยู่มานานแล้วเท่านั้นและนางเฮาะตอบทนายโจทก์ถามค้านอีกว่า ในปี 2539 โจทก์ ทนายโจทก์และนายสมศักดิ์บอกให้ตนกับจำเลยย้ายออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยขอให้โจทก์รื้อถอนบ้านไปปลูกในที่ดินที่นางเฮาะกับจำเลยซื้อไว้โดยไม่เอาค่าขนย้ายอันเป็นการแสดงออกถึงการยอมรับสิทธิของโจทก์อีกด้วย หาใช่เป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือต่อโจทก์แต่อย่างใดไม่ ส่วนโจทก์นำสืบว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นจากโจทก์จึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ ดังนั้นเมื่อจำเลยซึ่งมีภาระการพิสูจน์ในประเด็นเรื่องนี้ แต่สืบได้ไม่สมฟ้องแย้ง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ชอบที่จะฟ้องขับไล่จำเลยกับบริวาร และเรียกค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังกล่าวแล้ว กรณีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 200 ตารางวา หรือไม่อีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่าจำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์เนื้อที่ 36 ตารางวา นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share