แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทส่วนของ จ. และของ ก. ทั้งแปลงโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงเป็นการครอบครองปรปักษ์ต่อที่ดินพิพาททั้งของ จ. และ ก. ด้วยตนเองโดยตรง เมื่อผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนของ จ. โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนของ ก. ด้วย หาใช่ว่าเมื่อได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วน ของ จ. แล้วจะครอบครองที่ดินพิพาทส่วนของ ก. แทน ก. ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมเช่นเดียวกับ จ. ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกันในโฉนดที่ดินด้วยไม่ ดังนั้น ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนของ ก. โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ด้วย
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1068 ตำบลโพชนไก่ อำเภอบางระจัน (สิงห์) จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 60 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปกปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และมีหนังสือแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดิน จังหวัดสิงห์บุรี ทำการแก้ไขทะเบียนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินมาเป็นของผู้ร้อง
ผู้คัดค้านทั้งหกยื่นคำร้องคัดค้าน ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 1068 ตำบลโพชนไก่ อำเภอบางระจัน (สิงห์) จังหวัดสิงห์บุรี เฉพาะส่วนของนางจี่ ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ผู้คัดค้านที่ 6 ถึงแก่กรรม นางสาวนันทิยา ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนผู้คัดค้านทั้งหก
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่านางจี่ และนางเกรียวหรือเกลียว ซึ่งมีศักดิ์เป็นยายและป้าของผู้ร้องเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินเลขที่ 1068 ตำบลโพชนไก่ อำเภอบางระจัน (สิงห์) จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 60 ตารางวานางจี่ได้ยกที่ดินส่วนของตนให้แก่ผู้ร้อง และผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินส่วนของนางจี่โดยความสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของนางเกลียวโดยการครอบครองปรปักษ์ด้วยหรือไม่ ผู้ร้องมีตัวผู้ร้องเบิกความว่า เมื่อประมาณปี 2506 นางจี่และนางเกลียวปรึกษากันเห็นว่าผู้ร้องไม่มีบิดามารดา แต่มีการศึกษาพอสมควรน่าจะรักษาทรัพย์สมบัติไว้ได้ นางจี่และนางเกลียวจึงยกที่ดินและมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องได้ไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสิงห์บุรีแล้ว เจ้าหน้าที่แนะนำว่าหากจดทะเบียนเป็นยกให้ ผู้ยกให้อาจจะเรียกคืนได้ในภายหลัง และแนะนำให้ทำเป็นเรื่องซื้อขายผู้ร้องจึงได้นำแบบพิมพ์จากสำนักงานที่ดินไปให้นางจี่และนางเกลียวลงชื่อมอบอำนาจให้ผู้ร้องจดทะเบียนขายที่ดินให้แก่ผู้ร้องตามหนังสือมอบอำนาจ ผู้ร้องได้ไปติดต่อที่สำนักงานที่ดิน ทางสำนักงานที่ดินให้ผู้ร้องไปเอาหนังสือให้ความยินยอมของนายสดสามีของนางเกลียวมาแสดง ผู้ร้องให้นายสดลงลายมือชื่อให้ความยินยอม ตามหนังสือให้ความยินยอมแล้วนำไปแสดงต่อสำนักงานที่ดิน เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ผู้ร้องนำสูติบัตรของผู้ร้องมาแสดง นางจี่บอกว่าผู้ร้องไม่มีใบสูติบัตร ผู้ร้องจึงไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินดังกล่าวได้ ผู้ร้องได้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาท รื้อบ้านหลังเก่าออกปลูกบ้านหลังใหม่ ทำรั้วล้อมรอบที่ดินพิพาท และให้นายเพราะดูแลแทน ผู้คัดค้านทั้งหกไม่เคยยุ่งเกี่ยว ผู้ร้องได้รับนางจี่ไปเลี้ยงดูที่บ้านจังหวัดนนทบุรีตั้งแต่ปี 2514 จนนางจี่ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2528 ผู้ร้องได้นำศพนางจี่ไปบรรจุไว้ที่ฮวงซุ้ยในที่ดินพิพาท และผู้ร้องยังมีนายเพราะ เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า พยานเป็นผู้เขียนหนังสือมอบอำนาจ นางจี่และนางเกลียวมีเจตนายกที่ดินพิพาทให้ก่อน แม้พยานปากนี้จะเบิกความในตอนแรกว่า พยานไม่ทราบชัดว่านางจี่และนางเกลียวมีเจตนายกให้หรือขายที่ดินให้แก่ผู้ร้อง แต่ก็เบิกความต่อไปในทันทีว่า นางจี่และนางเกลียวมีเจตนายกที่ดินพิพาทให้ก่อน คำเบิกความของพยานปากนี้จึงไม่ถือว่าขัดกันเอง พยานปากนี้เป็นผู้เขียนหนังสือมอบอำนาจทั้งยังเป็นญาติกับนางจี่และนางเกลียวด้วย ย่อมจะรู้ข้อเท็จจริงดีพอสมควร คำเบิกความของพยานปากนี้จึงมีน้ำหนักรับฟังสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องได้ แม้ว่านายชัยยะพยานผู้ร้องอีกปากหนึ่งซึ่งลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจจะเบิกความว่าก่อนพยานลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจ นายเพราะอ่านหนังสือมอบอำนาจให้ฟัง และนางเกลียวบอกกับพยานว่า จะนำเงินที่ได้จากการขายที่ดินไปทำบุญและแบ่งให้พี่น้อง แต่พยานปากนี้กลับเบิกความว่า พยานไม่ได้ยินผู้ร้องกับนางเกลียวพูดถึงราคาซื้อขายที่ดินแต่อย่างใด และพยานไม่ทราบว่านางจี่กับนางเกลียวจะตกลงยกที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องเนื่องจากไม่มีพ่อแม่หรือไม่ คำเบิกความของพยานเช่นนี้ชี้ชัดว่าพยานมิได้เห็นว่ามีการเจรจาตกลงซื้อขายที่ดินพิพาท และไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงว่าความจริงเป็นการยกให้หรือซื้อขายที่ดินพิพาทกันแน่ ซึ่งก็สอดคล้องกับพฤติการณ์ที่พยานในหนังสือมอบอำนาจเท่านั้นมิใช่ผู้เขียนหนังสือมอบอำนาจ จึงไม่ได้รับการบอกเจตนาที่แท้จริงให้ทราบเพื่อตัดบทหรือเห็นว่าไม่จำเป็นก็ได้ นอกจากนี้พยานยังเบิกความอีกว่า หลังจากมีการฟ้องร้องคดีนี้แล้ว พยานเคยพูดกับนายเพราะว่า หากเรื่องจริงเป็นการยกให้แล้วมาทำหนังสือมอบอำนาจว่าซื้อขาย นายเพราะและพยานจะติกคุก คำเบิกความดังกล่าวบ่งชี้ว่าพยานเกรงว่าหากเบิกความว่ายกให้จะขัดกับหนังสือมอบอำนาจและจะมีความผิดถึงติดคุก พยานจึงเบิกความในทำนองเป็นการซื้อขายเพื่อให้สอดคล้องกับข้อความในหนังสือมอบอำนาจเพราะเกรงความผิดนั้นเอง คำเบิกความของพยานปากนี้จึงมีพิรุธและมีน้ำหนักน้อย ไม่ทำให้คำเบิกความของผู้ร้องและนายเพราะที่สอดคล้องต้องกันและสมเหตุสมผลต้องเสียไปด้วย ตามพฤติการณ์แห่งคดี นางพรมารดาของผู้ร้องกับนางเกลียวเป็นพี่น้องต่างมารดาโดยเป็นบุตรของนายเซียพี่ชายของนางจี่ นายอุ๊ยบิดาของผู้ร้องเป็นบุตรของนางเง็กฮวยพี่สาวของนายสง่าสามีนางจี่ นางเกลียวจึงมีศักดิ์เป็นป้าและนางจี่มีศักดิ์เป็นยายของผู้ร้อง เมื่อนางพรและนายอุ๊ยบิดามารดาของผู้ร้องตายตั้งแต่ผู้ร้องยังเด็กๆ นางจี่จึงได้นำผู้ร้องไปเลี้ยงดู ส่วนนางเกลียวก็เลี้ยงดูนางจี่จึงเท่ากับว่านางเกลียวเลี้ยงดูผู้ร้องด้วยเช่นกัน ทั้งนางเกลียวมีศักดิ์เป็นป้าโดยตรงใกล้ชิดยิ่งกว่านางจี่เสียอีก จึงเชื่อได้ว่าทั้งสองคนรักสงสารและเมตตาผู้ร้องเป็นพิเศษดังนั้นการที่นางจี่และนางเกลียวปรึกษากันยกที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่บ้านและที่ดินแปลงเดียวกันเนื้อที่เพียง 4 ไร่เศษ มีชื่อนางจี่และนางเกลียวผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน และเป็นสมบัติของบรรพบุรุษให้แก่ผู้ร้อง เพราะเห็นว่าผู้ร้องมีการศึกษาและสมควรจะเป็นผู้รักษาทรัพย์สมบัติที่ดินพิพาทไว้ด้วยได้นั้น จึงสมเหตุสมผล สำหรับนางเกลียวนั้นแม้จะมีบุตรคือผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 6 แต่นางเกลียวก็มีที่นาจำนวนมากแบ่งให้แก่ผู้คัดค้านทุกคน จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติวิสัยที่ยกที่ดินพิพาทส่วนของตนซึ่งมีเพียง 2 ไร่เศษ ให้แก่ผู้ร้อง นอกจากนี้ผู้ร้องก็เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ปลูกบ้านใหม่ ทำรั้วล้อมรอบที่ดิน และทำฮวงซุ้ยฝังศพนางจี่ในที่ดินพิพาทโดยผู้คัดค้านทั้งหกไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวคัดค้านโต้แย้งแต่อย่างใด พฤติการณ์บ่งชี้ว่าผู้คัดค้านทั้งหกทราบแก่ใจแล้วว่านางเกลียวผู้เป็นมารดาได้ยกที่ดินพิพาทส่วนของตนให้แก่ผู้ร้องแล้ว ที่ผู้คัดค้านทั้งหกเบิกความว่า ที่ไม่ได้ไปจดทะเบียนโอนตามหนังสือมอบอำนาจเพราะตกลงราคาที่ดินกันไม่ได้นั้น เห็นว่า เป็นการเบิกความกล่าวอ้างลอยๆ ไม่สมเหตุสมผล เพราะเมื่อมีการลงลายมือชื่อมอบอำนาจกันแล้วก็ย่อมแสดงว่าตกลงกันได้แล้ว ถ้าเป็นเรื่องซื้อขายและตกลงราคากันไม่ได้จริง นางเกลียวก็ไม่น่าจะยินยอมลงลายมือชื่อมอบอำนาจ ทั้งต่อมานายสดสามีของนางเกลียวก็ยังลงลายมือชื่อให้ความยินยอมแก่นางเกลียวทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทมอบให้แก่ผู้ร้องไปดำเนินการอีกด้วย ทั้งนางจี่และนางเกลียวยังได้มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องไปดำเนินการด้วย อีกประการหนึ่ง ถ้านางเกลียวมอบอำนาจให้ไปทำนิติกรรมขายที่ดินให้แก่ผู้ร้องแต่ยังตกลงราคากันไม่ได้จริง นางเกลียวรวมทั้งผู้คัดค้านทั้งหกก็ควรจะดำเนินการเรียกโฉนดที่ดินคืน มิใช่ปล่อยปละละเลย รวมทั้งไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทเป็นเวลานานจนผู้ร้องได้ไปร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเช่นนี้ นอกจากนี้การที่ผู้ร้องได้เลี้ยงดูนางจี่เท่ากับตอบแทนแบ่งเบาภาระของนางเกลียวในการเลี้ยงดูนางจี่ด้วย และการที่ผู้ร้องนำศพนางจี่ไปฝังไว้ในที่ดินพิพาทแสดงว่าเจตนาจะไม่ขายที่ดินพิพาทแก่ผู้อื่นต่อไป อันเป็นการรักษาทรัพย์สมบัติของบรรพบุรุษไว้ตามเจตนาของนางจี่และนางเกลียวผู้ยกให้นั้นเอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่านางจี่ยกที่ดินพิพาทส่วนของนางจี่ให้แก่ผู้ร้อง แต่ทำหนังสือมอบอำนาจให้ไปทำสัญญาจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทส่วนของตน จึงเชื่อได้ว่านางเกลียวก็ยกที่ดินพิพาทส่วนของตนให้แก่ผู้ร้องโดยทำหนังสือมอบอำนาจให้ไปทำสัญญาจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทส่วนของตน จึงเชื่อได้ว่านางเกลียวก็ยกที่ดินพิพาทส่วนของตนให้แก่ผู้ร้องโดยทำหนังสือมอบอำนาจให้ไปทำสัญญาจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทส่วนของตนเช่นเดียวกัน อนึ่ง นางจี่และนางเกลียวมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทร่วมกัน จึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททุกตารางนิ้วร่วมกันหาได้แยกกันถือกรรมสิทธิ์เป็นสัดส่วนไม่ เมื่อผู้ร้องครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ส่วนของนางจี่รวมทั้งที่ดินส่วนของนางเกลียวทั้งแปลงโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงเป็นการครอบครองปรปักษ์ต่อที่ดินพิพาททั้งของนางจี่และนางเกลียวด้วยตนเองโดยตรง เมื่อผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนของนางจี่โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนของนางเกลียวด้วยหาใช่ว่าเมื่อได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนของนางจี่แล้วจะครอบครองที่ดินพิพาทส่วนของนางเกลียวแทนนางเกลียวในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมเช่นเดียวกับนางจี่ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกันในโฉนดที่ดินด้วยไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนของนางเกลียวโดยการครอบครองปรปักษ์ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1068 ตำบลโพชนไก่ อำเภอบางระจัน (สิงห์) จังหวัดสิงห์บุรี เฉพาะส่วนของนางเกรียวหรือเกลียว ตกเป็นกรรมสิทธ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ