คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 953/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลลงโทษจำเลยเพียงข้อหาเดียว การที่จำเลยให้การว่า ‘ขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง’ ดังนี้ ไม่ชัดเจนว่าจำเลยกระทำผิดฐานใด กรณีเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดของจำเลยจึงจะลงโทษจำเลยได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 8 เมษายน 2531 เวลากลางคืนหลังเที่ยงถึงวันที่ 9 เมษายน 2531 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ต่อเนื่องเกี่ยวพันกันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ได้มีคนร้ายหลายคนร่วมกันลักต้นสนแผงทอง 5 ต้น ราคา 150 บาทของนางสะอาด เขมสุขผู้เสียหาย ไปโดยทุจริต โดยคนร้ายร่วมกันใช้สามล้อถีบติดเครื่องยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์และพาทรัพย์นั้นไป ต่อมาเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามได้พร้อมกับต้นสนแผงทองที่ถูกคนร้ายลักไป กับรถสามล้อถีบติดเครื่องยนต์ 1 คัน แม่แรงพร้อมอุปกรณ์ 1 ตัวเป็นของกลาง ทั้งนี้ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังกล่าว จำเลยทั้งสามกับพวกที่หลบหนีเป็นคนร้ายลักทรัพย์ของผู้เสียหาย หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันรับของโจร ซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหายดังกล่าวที่ถูกคนร้ายลักไปขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335, 336 ทวิ, 83, 357 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 11 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 13 ริบรถสามล้อถีบติดเครื่องยนต์กับแม่แรงพร้อมอุปกรณ์
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพตามฟ้องและโจทก์กับจำเลยทั้งสามไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357, 83 จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกคนละ 1 ปีของกลางริบ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและขอให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลดโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์ว่า จะลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานรับของโจรได้หรือไม่ และสมควรที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสอบถามคำให้การจำเลยใหม่หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แสดงว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว เพราะความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดคนละฐานกัน จะลงโทษจำเลยทั้งสามในทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวย่อมไม่ได้คำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสามที่ว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องนั้น ไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำความผิดฐานใด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงลงโทษจำเลยทั้งสามไม่ได้ และเมื่อศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า ‘..จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์และจำเลยไม่สืบพยาน…’ ซึ่งโจทก์ก็ได้ลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณานั้นแล้ว หากโจทก์เห็นว่าคำให้การของจำเลยทั้งสามที่ศาลชั้นต้นจดไว้ไม่ชัดแจ้ง โจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานต่อไปเพราะเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดของจำเลย คดีจึงไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสอบถามคำให้การของจำเลยทั้งสามซึ่งได้ให้การไว้ต่อศาลชั้นต้นแล้วใหม่..’
พิพากษายืน.

Share