แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมจำเลยที่ 3 และที่ 5 เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ ว.ออกจากที่พิพาทศาลพิพากษายกฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของฉ.ภริยาว. ไม่ใช่ของจำเลย ที่3 และที่ 5 คดีถึงที่สุดแล้วหลังจากนั้นจำเลยทั้งหกว.และฉ. ก็ยังคงอาศัยอยู่ในที่พิพาทโดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 อาศัยสิทธิจำเลยที่ 3 และที่ 5 ปลูกสร้างอยู่อาศัยในที่พิพาทด้วยต่อมาโจทก์ได้รับโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทจากฉ. และฟ้องขับไล่จำเลยทั้งหกให้ออกไปจากที่พิพาทเป็นคดีนี้ดังนี้ ผลแห่งคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดในคดีก่อนย่อมผูกพันจำเลยที่ 3 และที่ 5 ในคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 การครอบครองที่พิพาทของจำเลยหลังจากศาลพิพากษาถึงที่สุดถือว่าเป็นการครอบครองแทนผู้ชนะคดี จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งหกอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ฉ. ตามคำให้การจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดได้มีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตนไปยังผู้ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381เพื่อการเริ่มต้นนับระยะเวลาแย่งการครอบครองโดยมิชอบตามมาตรา1375 เป็นประเด็นไว้จำเลยที่ 3 และที่ 5 จึงไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ฉ. เจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาทคนเดิมและโจทก์ผู้รับโอนซึ่งสิทธิและหน้าที่ในที่พิพาทจากเจ้าของเดิมได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่สำนวนว่าโจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 64/98 โดยซื้อมาจากนางแฉล้ม จำเลยทั้งสี่สำนวนต่างได้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่พิพาทบางส่วนตั้งแต่เจ้าของเดิม จำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยที่ 4 ที่ 5 เป็นสามีภริยากัน โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไป ได้บอกกล่าวแล้ว จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทุกคนและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์และห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 ให้การอย่างเดียวกันว่า จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ไม่เคยขออาศัยจากนางแฉล้ม โจทก์กับนางแฉล้มสมคบกันซื้อขายที่พิพาทและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยไม่สุจริตเพราะทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 3 และที่ 5 เป็นผู้ครอบครองและเคยโต้แย้งสิทธิการเป็นเจ้าของและการครอบครองต่อนางแฉล้ม ทั้งนางแฉล้มยังมิได้ส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 3 และที่ 5 มาเป็นเวลา 10 ปี โดยนางแฉล้มมิได้โต้แย้ง โจทก์รับโอนจากนางแฉล้มเมื่อขาดอายุความฟ้องคดีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้การอย่างเดียวกันว่า ที่พิพาทเดิมเป็นของนายเหล็ง เมื่อ พ.ศ. 2512 นายเหล็งได้ขายที่พิพาทพร้อมบ้านให้แก่จำเลยที่ 3และที่ 5 ร่วมกัน และได้ส่งมอบให้จำเลยทั้งสองครอบครองตั้งแต่วันขาย โดยจำเลยที่ 5 ครอบครองที่พิพาทกึ่งหนึ่งทางทิศเหนือ ส่วนจำเลยที่ 3 ครอบครองกึ่งหนึ่งทางทิศใต้เป็นการชั่วคราว จำเลยไม่ได้อาศัยที่พิพาทจากนางแฉล้ม แต่ได้โต้แย้งสิทธิในที่พิพาทโดยจำเลยที่ 3 และที่ 5 ได้ฟ้องขับไล่นายวิชัยสามีนางแฉล้มต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ ตามคดีหมายเลขแดงที่ 444/2521 ศาลพิพากษายกฟ้อง นับแต่นั้นมาจำเลยที่ 3 และที่ 5 ก็ยังครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยนางแฉล้มมิได้โต้แย้งการครอบครองของจำเลยทั้งสองหรือฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นางแฉล้มจึงหมดสิทธิเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท โจทก์เองก็ทราบความดังกล่าว โจทก์กับนางแฉล้มสมคบกันทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทแล้วนำมาฟ้องคดีและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยไม่สุจริต นางแฉล้มก็ส่งมอบการครอบครองให้โจทก์ไม่ได้ โจทก์ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนไม่ได้สิทธิครอบครอง ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อ พ.ศ. 2521 จำเลยที่ 3 และที่ 5 ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายวิชัยสามีนางแฉล้มเป็นจำเลยในคดีแพ่งว่า นายเหล็งขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 5 นายวิชัยอาศัยสิทธิจำเลยที่ 3 และที่ 5 ปลูกบ้านในที่พิพาท จำเลยที่ 3 และที่ 5 ไม่ประสงค์จะให้นายวิชัยอาศัยอยู่ต่อไป ขอให้ศาลบังคับ นายวิชัยให้การต่อสู้ว่า เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของนางแฉล้มผู้เป็นภรรยาซึ่งได้รับมรดกที่พิพาทจากบิดาตามพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง ผลแห่งคดี ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 และที่ 5 คดีนี้ โดยฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของนางแฉล้ม ไม่ใช่ของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ตามที่อ้างว่าซื้อมาจากนายเหล็ง คดีถึงที่สุดหลังจากนั้นจำเลยทั้งหกและนายวิชัยนางแฉล้มก็ยังคงอาศัยอยู่ในที่พิพาทเรื่อยมา โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 อาศัยสิทธิจำเลยที่ 3 และที่ 5 ปลูกสร้างอยู่อาศัยในที่พิพาทด้วย ครั้นต่อมา พ.ศ. 2524 โจทก์ได้ฟ้องนางแฉล้มเป็นคดีแพ่ง ขอให้นางแฉล้มส่งมอบสิทธิการครอบครองที่พิพาทตามข้อตกลงที่ได้ซื้อขาย นางแฉล้มไม่สู้คดีและยอมความ ศาลพิพากษาตามยอมโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยทั้งหกเป็นคดีนี้
ที่จำเลยฎีกาว่าหลังจากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 3 และที่ 5 แพ้คดีนายวิชัยในคดีก่อน จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ยังคงครอบครองที่พิพาท มิได้กระทำการแทนหรืออาศัยสิทธินางแฉล้มอย่างใด เป็นการยึดถือเพื่อตนด้วยการครอบครองปรปักษ์และโต้แย้งสิทธิเกี่ยวกับการครอบครองตลอดมาเกิน 1 ปีแล้ว สิทธิฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองของนางแฉล้ม เจ้าของเดิมจึงขาดอายุความ โจทก์ในฐานะผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏชัดจากคำวินิจฉัยของศาลที่จำเลยที่ 3 และที่ 5 เป็นโจทก์ฟ้องนายวิชัยเป็นคดีแพ่งในสำนวนก่อนว่านายเหล็งมิได้ขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 และที่ 5 หากแต่ฟังว่าที่พิพาทเป็นของนางแฉล้มหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ที่พิพาทมิใช่เป็นของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ตามข้ออ้าง คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ผลแห่งคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดย่อมผูกพันจำเลยที่ 3 และที่ 5 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยจะต้องยอมรับรู้ผลของคำพิพากษานั้น จะมาอ้างการเป็นเจ้าของที่พิพาททั้ง ๆ ที่ตนต้องคำพิพากษาให้เป็นฝ่ายแพ้คดีอีกหาได้ไม่มิฉะนั้นแล้วคำพิพากษาของศาลย่อมจะไร้ผล เพราะจะมีการอ้างได้ร่ำไปไม่สิ้นสุด การบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ที่ให้เวลาแก่คู่ความหรือผู้ชนะคดีไว้ถึง 10 ปีก็ไร้ประโยชน์ การครอบครองที่พิพาทของจำเลยหลังจากศาลพิพากษาถึงที่สุด ย่อมถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนผู้ชนะคดี เมื่อข้อเท็จจริงในคดีก่อนฟังเป็นยุติแล้วว่าที่พิพาทมิใช่เป็นของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ตามที่อ้างว่าซื้อจากนายเหล็ง หากแต่ฟังว่า ที่พิพาทเป็นของนางแฉล้มภรรยาของนายวิชัย จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งหกคดีนี้อยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของนางแฉล้ม ตามคำให้การของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่าจะมีจำเลยคนใดได้มีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตนไปยังผู้ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 เพื่อการเริ่มต้นนับระยะเวลาแย่งการครอบครองโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เป็นประเด็นไว้ จำเลยที่ 3และที่ 5 จึงไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้นางแฉล้มเจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาทคนเดิมและโจทก์ผู้รับโอนซึ่งสิทธิและหน้าที่ในที่พิพาทจากเจ้าของเดิมได้ ข้ออ้างการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของโจทก์ตามคำให้การของจำเลย จำเลยก็อ้างขึ้นลอย ๆ ไม่มีประเด็นข้อวินิจฉัย
พิพากษายืน