คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9520/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นเขตทุ่งสัตว์สาธารณะและป่าสงวนแห่งชาติการที่จำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินย่อมทำให้รัฐเสียหายผู้มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวคือเจ้าพนักงานของรัฐเท่านั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนได้แต่เมื่อโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยส่วนที่โจทก์ขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทนั้นเนื่องจากที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304(2)จึงไม่อาจห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องเสียทั้งหมดได้เพราะเป็นการขัดวัตถุประสงค์ของการใช้สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทนี้จะห้ามได้เฉพาะกรณีที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยที่มิใช่เป็นไปเพื่อการใช้ที่ดินตามวัตถุที่ประสงค์ของสาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิคนละ 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 65 ไร่ ที่ดินทั้งสองแปลงตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลวังศาล อำเภอวังโป่งจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ดินทั้งสองแปลงเดิมเป็นของนายมี ตุ้มคำบิดาโจทก์ทั้งสอง โดยนายมีซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากนายวิโรจน์ พรหมประเสริฐ ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน(ส.ค.1) เลขที่ 97 นายมีครอบครองทำประโยชน์ถากถางที่ดินจนเตียน ต่อมาเมื่อประมาณ 10 ปี มาแล้วนายมียกที่ดินทางทิศตะวันตกให้โจทก์ที่ 1 และยกที่ดินทางทิศตะวันออกให้โจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยปลูกพืชไร่ ปลูกไม้ยืนต้น ทำนา และเสียภาษีบำรุงท้องที่ติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้ว โดยสุจริตเปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ ที่ดินของโจทก์ที่ 1 ทิศเหนือจดถนนสายวังแช่กลอย-วังศาล และที่ดินนายศิลปะ ทิศใต้จดที่ดินนายชู บัวทับ ทิศตะวันออกจดที่ดินโจทก์ที่ 2 ทิศตะวันตกจดที่ดินนางทองอินทร์และที่ดินนายศรีมล ที่ดินของโจทก์ที่ 2ทิศเหนือจดถนนสายวังแช่กลอย-วังศาล และที่ดินนายศิลปะทิศใต้จดที่ดินนายจรูญและที่ดินนายชู ทิศตะวันออกจดที่ดินนายบุญลือ ทิศตะวันตกจดที่ดินโจทก์ที่ 1 นับแต่นายมีและโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมา จำเลยไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องหรือโต้แย้งสิทธิ ต่อมาประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2534จำเลยแจ้งโจทก์ทั้งสองว่าที่ดินทางทิศเหนือของโจทก์ที่ 1เนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน และของโจทก์ที่ 2 เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งานรวมเนื้อที่ประมาณ 31 ไร่ เป็นของจำเลย ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1311 ตำบลวังโป่ง อำเภอชนแดนจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ โจทก์ทั้งสองทำการตรวจสอบระวางแผนที่และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวจึงทราบว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวออกทับที่ดินของโจทก์ทั้งสองบางส่วน แสดงว่าจำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยมิชอบและไม่สุจริตจำเลยไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง และจำเลยยังนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคารทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1311 เลขที่ดิน 40 ตำบลวังโป่ง อำเภอชนแดน(ปัจจุบันคืออำเภอวังโป่ง) จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามจำนวนเนื้อที่ดินที่ออกทับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การทำนองเดียวกัน โจทก์ทั้งสองมิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยไม่สุจริตและไม่ชอบอย่างไร ทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ฟ้องของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม จำเลยเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1311 ตำบลวังโป่ง อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์เนื้อที่ 31 ไร่ 1 งาน 10 ตารางวา โดยชอบด้วยกฎหมาย โดยบิดาของจำเลยยกให้จำเลยครอบครองมาก่อนแล้วประมาณ 20 ปี เมื่อจำเลยได้รับการยกให้แล้ว จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยสุจริตและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ไม่ได้รุกล้ำที่ดินของผู้อื่นจนถึงปี 2519 เป็นเวลา 5 ปี นับแต่บิดาของจำเลยยกที่ดินให้จำเลยจึงได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จำเลยครอบครองที่ดินดังกล่าวมาโดยตลอด นับแต่จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน10 ปี แล้ว โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1311 เลขที่ดิน 40 ตำบลวังโป่ง อำเภอชนแดน (ปัจจุบันคืออำเภอวังโป่ง) จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามจำนวนเนื้อที่ดินตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.1 (แนวเส้นสีแดงและแนวเส้นสีเขียว)ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินอีก
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์ทั้งสองนำสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นเขตทุ่งเลี้ยงสัตว์สาธารณะและป่าสงวนแห่งชาติ นายมี ตุ้มคำ บิดาโจทก์ทั้งสองเคยขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทแต่ทางราชการปฏิเสธอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นเขตทุ่งเลี้ยงสัตว์สาธารณะและป่าสงวนแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่องนี้นายสมัคร คงเจียมกำนันตำบลวังศาล พยานโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นกำหนดในเขตปกครองที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่เบิกความรับว่า ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตทุ่งเลี้ยงสัตว์สาธารณะไม่สามารถออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นเขตทุ่งสัตว์สาธารณะและป่าสงวนแห่งชาติ ดังนั้น การที่จำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินย่อมทำให้รัฐเสียหาย ผู้มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว คือ เจ้าพนักงานของรัฐเท่านั้นโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้เพิกถอนได้ อย่างไรก็ตามเมื่อโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย ส่วนที่โจทก์ทั้งสองขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทนั้น เนื่องจากที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) จึงไม่อาจห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องเสียทั้งหมดได้ เพราะเป็นการขัดวัตถุประสงค์ของการใช้สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทนี้จะห้ามได้เฉพาะกรณีที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยที่มิใช่เป็นไปเพื่อการใช้ที่ดินตามวัตถุที่ประสงค์ของสาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท เว้นแต่ที่เป็นการใช้ประโยชน์ในที่ดินตามวัตถุประสงค์ของสาธารณสมบัติของแผ่นดินแปลงพิพาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share