แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยบังอาจนำทองคำแท่ง ซึ่งเป็นของต้องห้ามต้องจำกัด และยังมิได้เสียภาษีอากรและผ่านด่านศุลกากรโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยบังอาจช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ฯลฯ ซึ่งทองคำดังกล่าวอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตและหลีกเลี่ยงข้อห้ามข้อจำกัด เช่นนี้ ไม่ถือเป็นฟ้องที่ขัดกันอันจะเป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะความผิดทั้งสองฐานอาศัยข้อเท็จจริงใกล้เคียงกันมาก(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 212/2504) และโจทก์ก็มิได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานความผิดประกอบทั้งไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้ ถือเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2513)
ย่อยาว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๐๗ เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยบังอาจนำเนื้อทองคำแท่งจำนวน ๒ แท่ง หนัก ๒ กิโลกรัม ราคา ๕๓,๓๒๘บาท ซึ่งเป็นของต้องห้ามต้องจำกัด และยังมิได้เรียกเก็บอากรและมิได้ผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้องตามกฎหมายจากเมืองสุวรรณเขต ประเทศลาว เข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาต และมิได้ผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้องตามกฎหมาย และโดยเจตนาหลีกเลี่ยงข้อห้ามข้อจำกัด และฉ้อภาษีอากรของรัฐบาล อีกทั้งทองคำแท่งดังกล่าวเป็นของต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามพระราชกฤษฎีกาควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่างจำเลยบังอาจนำทองคำดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือมิฉะนั้นเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๐๗ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยบังอาจช่วยซ่อนเร้นหรือช่วยจำหน่าย หรือช่วยนำเอาไปเสียหรือซื้อ หรือรับจำนำ หรือรับไว้ซึ่งทองคำดังกล่าว อันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาต โดยหลีกเลี่ยงข้อห้ามข้อจำกัด เหตุเกิดที่ตำบลมุกดาหาร อำเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม ขอศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗, ๒๗ ทวิพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๖, ๑๖, ๑๗พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง พ.ศ. ๒๔๘๒มาตรา ๓, ๔, ๙ พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๓พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓, ๔ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. ๒๔๘๙ มาตรา ๖, ๘, ๙ และสั่งริบของกลาง และสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับให้แก่ผู้แจ้งความนำจับและรางวัลแก่พนักงานผู้จับตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒มาตรา ๑๖, ๑๗ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓และพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓และพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้าบางอย่าง พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๓, ๔ และพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ และพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓, ๔ ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่างพ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๙ พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ซึ่งเป็นบทหนัก โดยให้จำคุกจำเลยมีกำหนด ๓ เดือน ปรับ ๒๖๖,๖๔๐ บาทบังคับค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ถ้าจะต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังจำเลยมีกำหนด ๒ ปี ทองคำแท่งของกลางให้ริบส่วนการสั่งจ่ายค่าสินบนและค่ารางวัลแก่ผู้นำจับและผู้จับต้องบังคับตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๙ ตามที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ ซึ่งบัญญัติว่า ให้แบ่งจ่ายค่าสินบนและค่ารางวัลแก่ผู้นำจับและผู้จับสี่ส่วนในห้า ถ้าจำเลยไม่ชำระค่าปรับเงินค่าสินบนค่ารางวัลแก่ผู้นำจับและผู้จับ ให้จ่ายจากเงินที่ได้จากการขายของกลางซึ่งถูกริบไว้
จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมและในข้อดุลพินิจโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า ความผิดฐานนำทองคำแท่งเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาต กับความผิดฐานรับของโจรทรัพย์ดังกล่าว เป็นความผิดที่อาศัยข้อเท็จจริงใกล้เคียงกันมาก ซึ่งควรฟ้องรวมกันมาได้โดยถือว่าไม่ถึงกับขัดกันอันจะเป็นฟ้องเคลือบคลุม และโจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานความผิด ซึ่งแล้วแต่ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยจะผิดในข้อหาฐานใด ทั้งจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้(ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๒/๒๕๐๔) ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษยืนตามศาลชั้นต้นสมควรแก่ความผิดแล้ว
พิพากษายืน