แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างและมีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบการปฏิบัติงานของ จ. ละเลยไม่ตรวจสอบการปฏิบัติงานของ จ. อันเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ จ. ทุจริตเบียดบังรายได้ของโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการละเมิดนั้นโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายต่อศาลแรงงานได้แต่เมื่อโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วโจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีคดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก โดยมิต้องคำนึงว่าโจทก์จะทราบจำนวนค่าเสียหายที่ถูกต้องแท้จริงแล้วหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นอดีตพนักงานการรถไฟ มีหน้าที่ควบคุมตรวจสอบรวบรวมเงินรายได้นำส่งโจทก์ นายจำนวน เสมียนสินค้าเหมาคัน ซึ่งมีหน้าที่จ่ายสินค้าและเรียกเก็บเงินค่าภาระต่าง ๆ โดยผ่านการตรวจสอบของจำเลยทั้งสอง ได้ทุจริตต่อหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินโดยเรียกเก็บเงินเต็มจำนวนแล้วนำส่งต่อโจทก์น้อยกว่าเงินที่ได้รับมา เพื่อเบียดบังไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวหลายครั้ง โจทก์จึงไล่นายจำนวนออกจากงาน ต่อมาโจทก์ได้ตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อหาผู้รับผิดชอบในความเสียหายที่โจทก์ได้รับ ผลที่สุดที่ประชุมลงมติให้นายจำนวนเป็นผู้รับผิดชอบในหนี้ทั้งหมดก่อนหากยังขาดอยู่จำนวนเท่าใดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ มีค่าเสียหายจำนวนหนึ่งเรียกเก็บจากนายจำนวนไม่ได้โจทก์ทวงถามจำเลย จำเลยที่ 1 ยอมชำระให้ครึ่งหนึ่งแต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดร่วมกับนายจำนวนคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คณะกรรมการที่โจทก์ตั้งขึ้นได้รายงานผลการสอบสวนกรณีที่โจทก์ฟ้องนี้ครั้งแรงเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2521ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2523 ในรายงานผลการสอบสวนทั้งสองฉบับปรากฏว่านายจำนวนทุจริตต่อหน้าที่นำเงินที่ควรนำส่งต่อโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ฝ่ายการเดินรถมีคำสั่งไส่นายจำนวนออกจากงาน ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม2523 มีการประชุมผู้อำนวยการฝ่ายและหัวหน้าสำนักงาน (ด้านปกครอง) ที่ประชุมลงมติให้ลดขั้นเงินเดือนจำเลยทั้งสอง ฐานมีพฤติการณ์ไม่เอาใจใส่ต่อหน้าที่เป็นเหตุให้เสียหายต่อโจทก์ ในการประชุมมีนายหิรัญ รองผู้ว่าการเป็นประธานที่ประชุมแทนผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทยฝ่ายเดินรถจึงออกคำสั่งลงโทษจำเลยทั้งสองคำสั่งนี้แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่าในการประชุมเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2523 นั้นโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรกแล้วที่โจทก์อ้างว่ายังไม่ทราบจำนวนค่าเสียหายที่ถูกต้องแท้จริงและตัวผู้รับผิดชอบนั้นเห็นว่าตัวผู้รับผิดชอบก็คือจำเลยทั้งสองที่โจทก์มีคำสั่งลงโทษนั่นเอง ส่วนใครจะรับผิดมากน้อยกว่ากันอย่างไร กฎหมายก็ได้ให้เวลาพิจารณาเป็นเวลาถึง 1 ปี การที่โจทก์อ้างว่าไม่ทราบจำนวนค่าเสียหายที่ถูกต้องแท้จริงนั้น หาใช่เหตุที่จะอ้างว่ายังไม่รู้ตัวผู้รับผิดชอบไม่มิฉะนั้นอายุความ 1 ปีซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ก็จะขยายออกไปได้เรื่อย ๆ แล้วแต่ความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์ อย่างไรก็ดี ต่อมาวันที่ 17 มีนาคม 2524ก่อนครบกำหนด 1 ปี คณะกรรมการสอบสวนก็ได้รับรายงานผลการสอบสวนเพิ่มเติมให้โจทก์ทราบว่าเงินที่นายจำนวนยักยอกไปนั้น ให้เรียกเก็บจากนายจำนวนทั้งหมด ถ้าเรียกเก็บไม่ได้หรือได้ไม่หมดหักแล้วเหลือเท่าใดให้แบ่งเป็น 4 ส่วนให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ 2 ส่วน ที่เหลืออีก 2 ส่วนให้จำเลยที่ 2 กับนายประเสริฐชดใช้คนละ 1 ส่วน โจทก์ก็มิได้ดำเนินการประการใด ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาถึงวันที่ 4 กุมภาพันธื 2525 จึงได้ประชุมผู้อำนวยการฝ่าย ฯลฯ ลงมติให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินที่ขาดแก่โจทก์ จึงเป็นเรื่องความบกพร่องของโจทก์เองที่ไม่ขวนขวายใช้สิทธิเรียกร้องเสียภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายบังคับไว้ ดังนี้เมื่อโจทก์ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และผู้รู้ตัวจำเลยทั้งสองผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2523 แต่โจทก์เพิ่มฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2526 พ้นกำหนด 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว
พิพากษายืน