คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2480/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

หนังสือมอบอำนาจของบริษัทจำเลยที่มอบอำนาจให้ช.ดำเนินคดีในศาลแรงงานกลางนั้นมีส.ลงชื่อผู้เดียวจำเลยอุทธรณ์ว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยกำหนดให้ส.ลงลายมือชื่อร่วมกับช.และประทับตราของบริษัทด้วยการมอบอำนาจจึงไม่ผูกพันจำเลยนั้นข้ออุทธรณ์ดังกล่าวมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลางต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31แม้จะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัยก็มีอำนาจที่จะไม่วินิจฉัยให้ได้. ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยระบุไว้ว่าการทำร้ายร่างกายกันเป็นความผิดทางวินัยมิได้ระบุว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงดังนั้นการกระทำใดจะถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงหรือไม่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไปโจทก์ตบตีภรรยาซึ่งเป็นคนงานด้วยกันแต่ไม่ปรากฏว่าได้รับบาดเจ็บแม้จะเป็นภายในบริเวณโรงงานแต่ก็นอกเวลาทำงานและไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยผู้เป็นนายจ้างการกระทำของโจทก์จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯข้อ47(3).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยที่โจทก์ไม่มีความผิดไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายนอกจากนี้จำเลยได้ค้างค่าจ้างโจทก์อีกจำนวนหนึ่งขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าชดเชยและค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าโจทก์ประพฤติผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยคือโจทก์ทะเลาะกับภรรยาและทำร้ายร่างกายภรรยาโจทก์ในโรงงานจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยส่วนค่าจ้างนั้นจำเลยค้างชำระอยู่จริงและยินดีจ่ายให้
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ทำผิดข้อบังคับฯแต่ยังไม่ถือว่าเป็นกรณีร้ายแรงจำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าชดเชยและค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าที่จำเลยอุทธรณ์ว่าหนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่มอบให้นายธาราใจจงรักษ์ดำเนินคดีแทนนั้นไม่ถูกต้องเพราะตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยกำหนดให้นายสุเมธกองพัฒนากูลลงลายมือชื่อร่วมกับนายชลิตพงษ์วัฒนานุสรณ์หรือนายสุชาติพงษ์วัฒนานุสรณ์และประทับตราสำคัญของบริษัทด้วยแต่หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมีนายสุเมธลงลายมือชื่อแต่ผู้เดียวจึงไม่ผูกพันจำเลยนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้ออุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลางต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31แม้จะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัยจึงไม่วินิจฉัยให้
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการที่โจทก์ทำร้ายร่างกายภรรยาของโจทก์นั้นเป็นความผิดทางอาญาและโจทก์ได้กระทำผิดภายในโรงงานของจำเลยจึงถือได้ว่าการกระทำของโจทก์เป็นความผิดในกรณีที่ร้ายแรงตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยแล้วพิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยหมวดที่4ว่าด้วยวินัยข้อ31.5กำหนดว่าห้าม(พนักงาน)ก่อการทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายร่างกายหรือพยายามทำร้ายกันและกันต่อบุคคลใดๆภายในบริเวณบริษัทซึ่งข้อบังคับดังกล่าวมิได้ระบุว่าการกระทำผิดวินัยตามข้อ31.5นี้เป็นความผิดที่ร้ายแรงการกระทำใดจะถือว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงหรือไม่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไปได้ความเพียงว่าโจทก์ตบตีภรรยาซึ่งเป็นคนงานด้วยกันแต่ไม่ปรากฏว่าได้รับบาดเจ็บแม้จะเป็นภายในบริเวณโรงงานแต่ก็นอกเวลาทำงานไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยผู้เป็นนายจ้างการกระทำของโจทก์จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีที่ร้ายแรงเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
พิพากษายืน.

Share