แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกสร้างอาคารเป็นสะพานทางเดินล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำในน้ำของทะเลสาบสงขลาอันเป็นทางสัญจรของประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย ฯ มาตรา 117 , 118 และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากทะเลสาบสงขลา ดังนี้ ถือว่าเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว แม้จะมิได้บรรยายฟ้องว่า เจ้าท่ามีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งก็ตาม เพราะ พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย ฯ มาตรา 118 ทวิ ที่แก้ไข เป็นการกำหนดวิธีการรื้อถอนหรือแก้ไขอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่ปลูกสร้างขึ้นโดยไม่รับอนุญาตจากเจ้าท่าเท่านั้น ไม่ใช่บทบัญญัติซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดตามฟ้อง เมื่อฟังได้ว่าจำเลยปลูกสร้างกีดขวางทางสัญจรของประชาชน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 117 ศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาในคดีอาญาคดีนี้ให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองเป็นผู้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางทางสัญจรดังกล่าวออกไปจากทะเลสาบสงขลาได้ตามมาตรา 118 ทวิ วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ปลูกสร้างอาคารเป็นสะพานทางเดิน และทำเป็นลานปูด้วยไม้ล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำในน้ำของทะเลสาบสงขลา อันเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๑๑๗ , ๑๑๘ พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๒๓ , ๒๕ และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากทะเลสาบสงขลา
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๑๑๗ วรรคหนึ่ง , ๑๑๘ ปรับ ๒๘๗,๘๓๕ บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ปรับ ๑๔๓,๙๑๗.๕๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ.มาตรา ๒๙ , ๓๐ แต่ไม่เกินกำหนด ๒ ปี ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากทะเลสาบสงขลาด้วย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษปรับในอัตราที่ต่ำสุด และยกคำขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า สถานที่จำเลยก่อสร้างมิได้กีดขวางทางสัญจร เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๑๑๗ , ๑๑๘ พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๒๓ , ๒๕ ซึ่งตามกฎหมายมาตราดังกล่าวเป็นเรื่องห้ามมิให้ผู้ใดปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำ ในน้ำ และใต้น้ำ ของแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชน เมื่อจำเลยรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยปลูกสร้างกีดขวางทางสัญจรของประชาชนตามฟ้อง จำเลยจะโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ในข้อนี้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า ศาลมีอำนาจสั่งจำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอันเป็นคำขอในส่วนแพ่งได้หรือไม่ เห็นว่า แม้คำฟ้องของโจทก์จะมิได้บรรยายว่าเจ้าท่ามีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนหรือแก้ไขสิ่งปลูกสร้างแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๘ (๕) แล้ว เมื่อฟังได้ว่าจำเลยปลูกสร้างกีดขวางทางสัญจรของประชาชน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๑๑๗ ศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาในคดีอาญาคดีนี้ให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองเป็นผู้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางทางสัญจรดังกล่าวออกไปจากทะเลสาบสงขลาได้ ตามมาตรา ๑๑๘ ทวิ วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ
พิพากษายืน.