แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ล. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยลงมาพูดทำนองบังคับผู้ตายให้กลับรถของจำเลย ใช้ปืนจี้ท้ายทอยแล้วลั่นไกแต่ กระสุนไม่ลั่น จึงใช้ปืนตีศีรษะ แล้วร้องบอกให้จำเลยติดเครื่องรถรอ จำเลยก็ติดเครื่องรถรอจน ล. มาถึงรถจำเลยแล้วยิงไปที่ผู้ตาย 1 นัด เมื่อขึ้นคร่อมท้ายรถแล้ว ล. ยิงไปอีกหลายนัด ขณะเดียวกันจำเลยก็ขับรถพาหลบหนีไป การติดเครื่องรถรออยู่เป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ ล. ยิงผู้ตาย เป็นการให้กำลังใจว่าเมื่อยิงแล้วมีโอกาสซ้อนรถจำเลยหลบหนีไปได้ทันท่วงทีและปลอดภัย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการสนับสนุนการกระทำผิดของ ล. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 86 จำคุก 10 ปี คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2524 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาเศษ พลทหารสมปอง ทองปราณีต ผู้ตายพลทหารสมบัติ แย้มเยื้อน ผู้เสียหาย พลทหารสาธิต มณีโชติกับพวกรวม 7 คน ได้ไปเที่ยวที่สถานการค้าประเวณีของนายเท้าหรือดิเรก จรัสชัยศรี ที่ซอยอัครภัทร์ ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร โดยว่าจ้างรถจักรยานยนต์ไป 3 คัน มีนายวิรัตน์ หุ่นลำภูผู้ตายเป็นคนขับไปคันหนึ่งด้วย จนถึงเวลาประมาณ 1 นาฬิกา ของวันที่ 11 เดือนเดียวกันขณะที่กำลังจะเตรียมตัวกลับ พลทหารสมปองผู้ตายและพลทหารสาธิตไปถ่ายปัสสาวะที่หน้าบ้าน นายวิรัตน์ผู้ตายถอยรถจักรยานยนต์ออกมาจอดข้างนอก ขณะเดียวกันจำเลยขับรถจักรยานยนต์เข้ามามีนายเหลื่อมทองธรรมชาติ ซึ่งกำลังเมาสุรานั่งซ้อนท้ายมา เนื่องจากความเมานายเหลื่อมเกิดโต้เถียงกับพวกผู้ตาย นายเหลื่อมใช้ปืนพกขนาด 11 มม. จ่อยิงที่ท้ายทอยพลทหารสมปองผู้ตาย 2 ครั้ง แต่กระสุนไม่ลั่นจึงใช้ปืนตีอีก 1 ที นายเหลื่อมบอกให้จำเลยติดเครื่องรถรอ จำเลยก็ติดเครื่องรถ พอจะขึ้นคร่อมท้ายรถจำเลยนายเหลื่อมยิงปืน 1 นัด เมื่อจำเลยขับรถออก นายเหลื่อมได้ยิงอีกหลายนัดแล้วหลบหนีไป ปรากฏว่ากระสุนถูกผู้ตายทั้งสองและถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลนครปฐม และถูกพลทหารสมบัติ แย้มเยื้อน ที่ขาได้รับบาดเจ็บ เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้
จำเลยนำสืบว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 23 นาฬิกา จำเลยไปเที่ยวที่สถานการค้าประเวณีที่ซอยอัครภัทร์ ก่อนถึงพบนายเหลื่อมซึ่งขอโดยสารไปด้วย จึงให้นั่งซ้อนท้าย เมื่อถึงบ้านที่จะไปเที่ยวได้หยุดรถแล้วนายเหลื่อมเดินลงไปและทะเลาะกับพวกทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านประมาณ 2 นาที นายเหลื่อมกลับมาที่รถบอกจำเลยว่าไปได้ แล้วขึ้นซ้อนท้ายจำเลยขับรถออกมาจากหนาบ้านก็ได้ยินเสียงปืนดัง 3 – 4 นัด สอบถามนายเหลื่อมบอกว่าเป็นคนยิงเอง ถึงปากซอยนายเหลื่อมแยกไปจำเลยกลับบ้านรุ่งเช้าตำรวจตามไปจับ จำเลยไม่ได้ร่วมกับนายเหลื่อมฆ่าผู้ตาย เหตุที่ต้องพานายเหลื่อมกลับไปส่งเพราะกลัวเนื่องจากนายเหลื่อมมีปืนจำเลยเคยวิกลจริตเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เมื่อเดือนพฤษภาคม 2524 หลังเกิดเหตุยังไปตรวจรักษาอยู่
ปัญหาข้อแรกที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยร่วมกับนายเหลื่อม ทองธรรมชาติฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหายนั้น ปรากฏว่าเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 86 โจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงจะฎีกาในปัญหาดังกล่าวไม่ได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดแก่นายเหลื่อม ทองธรรมชาติ หรือไม่ พลทหารสาธิต มณีโชติ พยานโจทก์เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุรถจักรยานยนต์ของพลทหารสมปอง ทองปราณีต ผู้ตายจอดห่างรถจักรยานยนต์ของจำเลย 1 วาเศษ ห่างตัวพยานก็ประมาณ 1 วาเศษ นายเหลื่อม ทองธรรมชาติ ซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถของจำเลยได้ลงมาที่พลทหารสมปองผู้ตายโดยถือปืนพกขนาด 11 มม. มาด้วย และถามด้วยความเมาว่า “มึงจะกลับรถคันไหน”พูดทำนองบังคับพลทหารสมปองผู้ตายให้กลับรถของจำเลย นายเหลื่อมใช้ปืนจี้ที่ท้ายทอยผู้ตายพร้อมลั่นไกดังแชะ ๆ 2 ครั้ง แต่กระสุนไม่ลั่นจึงใช้ปืนนั้นตีศีรษะผู้ตาย 1 ที นายเหลื่อมบอกให้จำเลยติดเครื่องรถจักรยานยนต์รอจำเลยจึงติดเครื่องรถ นายเหลื่อมเดินไปที่รถจำเลยพอจะขึ้นคร่อมก็ยิงปืน 1 นัด เมื่อรถเคลื่อนได้ยิงอีกหลายนัด นายกิมไล้ ธงไทยพันธ์พยานโจทก์อีกปากหนึ่ง ก็เบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงกับที่พลทหารสาธิตเบิกความทุกตอนไม่แตกต่างกัน ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ดังที่พยานทั้งสองเบิกความจำเลยกับผู้ตายอยู่ห่างเพียง 1 วาเศษ นับว่าอยู่ในระยะใกล้ชิดกันมาก เชื่อได้ว่าจำเลยจะต้องเห็นเหตุการณ์ที่นายเหลื่อม ทองธรรมชาติ กระทำต่อผู้ตาย โดยลั่นไกปืนที่ท้ายทอยและใช้ปืนตี ขณะนั้นเครื่องรถจักรยานยนต์ของจำเลยดับอยู่ นายเหลื่อมร้องบอกให้จำเลยติดเครื่องรถ จำเลยก็ติดเครื่องรถรอจนกระทั่งนายเหลื่อมมาถึงรถจำเลยแล้วยิงไปที่ผู้ตายทั้งสอง 1 นัด และเมื่อขึ้นคร่อมท้ายรถจำเลยแล้วนายเหลื่อมได้ยิงไปอีกหลายนัดขณะเดียวกับที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์พานายเหลื่อมหลบหนีไป การที่นายเหลื่อมกระทำต่อทหารสมปองผู้ตายโดยลั่นไกปืนและใช้ปืนตี แล้วร้องบอกให้จำเลยติดเครื่องรถจักรยานยนต์นั้น พลทหารสาธิตพยานโจทก์เบิกความว่า คิดว่านายเหลื่อมต้องยิงแน่ ๆ จึงเข้าไปฉุดพลทหารสมปองเพื่อให้ลงจากรถ เชื่อได้ว่าขณะนั้นจำเลยก็ต้องเข้าใจเช่นเดียวกับพลทหารสาธิตว่านายเหลื่อมจะต้องยิงพลทหารสมปองผู้ตาย การที่นายเหลื่อมร้องบอกให้จำเลยติดเครื่องรถรอและจำเลยติดเครื่องรถรอดังกล่าว เห็นได้ว่าจำเลยได้กระทำการอันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่นายเหลื่อมยิงผู้ตาย เป็นการให้กำลังใจว่านายเหลื่อมยิงผู้ตายแล้วมีโอกาสซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยหลบหนีไปได้ทันท่วงทีและปลอดภัย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของนายเหลื่อมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แล้ว ที่จำเลยนำสืบว่าหลังจากนายเหลื่อมทะเลาะกับผู้ตายแล้วมาขึ้นซ้อนท้ายรถจำเลย จำเลยขับออกมาจากหน้าบ้าน นายเหลื่อมจึงยิงปืนขึ้น 3 – 4 นัดนั้น คงมีจำเลยเบิกความปากเดียวไม่อาจฟังหักล้างพยานโจทก์ได้
ที่จำเลยนำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุเคยป่วยวิกลจริตไปรักษาตัวในโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา หลังเกิดเหตุก็ไปตรวจรักษาอยู่นั้น จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าขณะกระทำผิดสามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่องโรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน หรือมีอาการอยู่บ้าง จำเลยเบิกความว่ากลับจากโรงพยาบาลแล้วไปทำงานและอยู่เวรยามตามปกติวันก่อนเกิดเหตุก็ไปเฝ้าธนาคารตามหน้าที่ได้ตามปกติ และตอนดื่มสุรากับนายประวัติจำเลยจำความได้ไม่มีอาการฟุ้งซ่านอะไร จึงต้องฟังว่าขณะกระทำความผิดจำเลยไม่มีอาการทางจิต และเป็นเช่นปกติธรรมดา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีลงโทษจำคุกจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ของกลางริบ