คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4282/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามใบแจ้งรายการประเมินและใบแจ้งคำชี้ขาดระบุชื่อ พ. และหรือบริษัท ก. (โจทก์) ผู้รับประเมิน ย่อมหมายถึงว่า พ. หรือโจทก์คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนตามที่มีชื่อระบุไว้ในเอกสารดังกล่าว อยู่ในฐานะ ผู้รับประเมิน โจทก์จึงเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะพึงชำระค่าภาษีตามที่พนักงานเก็บภาษีแจ้งรายการประเมินไปให้ทราบและมีหน้าที่ชำระค่าภาษีตาม พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 ถือได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าค่าเช่ารายพิพาทนี้ไม่ใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ ตาม พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนฯ มาตรา 8 กรณีจึงไม่มีเหตุบ่งชี้ให้เห็นว่าค่าเช่าตามเอกสารแนบท้ายสัญญาเช่าอาคารตามฟ้องไม่ใช่จำนวนอันสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ ในการคำนวณภาษีซึ่งจะต้องเสียค่ารายปีจึงต้องถือตามจำนวนค่าเช่าที่โจทก์รับมาตามเอกสารแนบท้ายสัญญาเช่า การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ประเมินเรียกเก็บค่ารายปีโดยถือเอาค่าเช่าและค่าบริการรวมอยู่ด้วยนั้นจึงไม่ถูกต้อง การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนเงินส่วนที่เกินจากการประเมินใหม่ทั้งหมดให้แก่โจทก์ ภายใน 3 เดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้ หมายถึงนับแต่วันอ่านคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางนั้น เมื่อคดีนี้ ไม่ได้ถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนฯ มาตรา 39 วรรคสอง ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาสมควรแก้ไขให้ถูกต้องคือให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีให้โจทก์ภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินและเพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยที่ ๑ โดยกำหนดค่าภาษีเพียง ๓๘๐,๓๔๐ บาท และให้คืนเงินที่โจทก์ชำระค่าภาษีจำนวน ๑,๒๙๔,๕๙๒.๒๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ชำระแก่จำเลยจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลภาษีอากรกลางตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากไม่ใช่เจ้าของโรงเรือนพิพาท โรงเรือนดังกล่าว เป็นของ พ. ซึ่งเป็นกรรมการของโจทก์ เมื่อโจทก์มิใช่เจ้าของโรงเรือนโจทก์จึงมิได้ถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๕๕ เอกสารแนบท้ายสัญญาเช่า มิใช่ส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าเพราะตามสัญญาเช่ามิได้ระบุอ้างไว้ จึงไม่อาจนำมาบังคับ แก้ไขข้อความของสัญญาเช่า เอกสารดังกล่าวทำขึ้นหลังจากที่จำเลยที่ ๓ ได้ทำการประเมินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน โจทก์จัดทำเอกสารแนบท้ายสัญญาเช่าโดยกำหนดค่าเช่าเพียงเล็กน้อย ค่าบริการกลับสูงมากเพื่อให้ศาลเห็นว่า ค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่โจทก์รับผิดไม่เป็นไปตามการประเมินของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เอกสารดังกล่าวเป็นโมฆะ ไม่อาจรับฟังได้ จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ที่ถือเอาค่าเช่าตามสัญญาเช่ามาคำนวณค่ารายปีนั้นโดยไม่มีการใช้วิธีเทียบเคียง กับโรงเรือนใกล้เคียงนั้นชอบแล้ว เพราะเป็นโรงเรือนที่มีสัญญาเช่าปรากฏไว้และมีราคาสมควรแล้ว จึงไม่จำต้อง เทียบเคียง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินและคำชี้ขาดของจำเลยที่ ๑ ในปีภาษี ๒๕๓๔ กับ ๒๕๓๙ โดยให้ประเมินค่ารายปีและค่าภาษีของอาคารโจทก์ใหม่ ให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินส่วนที่เกินจากการประเมินใหม่ทั้งหมดให้แก่โจทก์ภายใน ๓ เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้ ถ้าไม่คืนในกำหนดดังกล่าวให้ ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันครบกำหนด ๓ เดือนจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้ยื่นแบบแจ้งรายการ เพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี ๒๕๓๔ ถึง ๒๕๓๖ ภายในกำหนดระยะเวลาในแต่ละปีภาษี ต่อมาปี ๒๕๓๗ ถึง ๒๕๔๐ โจทก์ไม่ได้ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินภายในกำหนดระยะเวลาในแต่ละปี แต่ได้มายื่นพร้อมกันในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ จำเลยที่ ๓ ได้ประเมินค่ารายปีสำหรับโรงเรือนและที่ดินประจำปี ๒๕๓๔ ถึง ๒๕๔๐ รวม ๗ ปี เป็นเงิน ๑๒,๑๘๑,๓๒๕ บาท แล้วแจ้งให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นเงิน ๑,๕๒๒,๖๖๕.๖๓ บาท โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินใหม่ จำเลยที่ ๑ พิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่แล้ว เห็นชอบด้วยกับการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่และจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมิน โจทก์ได้ชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินพร้อมเงินเพิ่มแล้ว
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์ว่า โจทก์มิใช่เจ้าของโรงเรือนพิพาทแต่เป็นของ พ. แม้การประเมินจะเป็นชื่อโจทก์ แต่ก็ไม่ถือว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมาย เห็นว่า ตามใบแจ้งรายการประเมินและใบแจ้งคำชี้ขาดทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ระบุชื่อ พ. และหรือบริษัท ก. (โจทก์) ผู้รับประเมิน ย่อมหมายถึงว่า พ. หรือโจทก์คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนตามที่มีชื่อระบุไว้ในเอกสารดังกล่าวอยู่ในฐานะผู้รับประเมิน โจทก์จึงเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะพึงชำระค่าภาษีตามที่พนักงานเก็บภาษี แจ้งรายการประเมินไปให้ทราบและมีหน้าที่ชำระค่าภาษีตาม พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ถือได้ว่าโจทก์ ถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๕๕ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ต่อไปมีว่า การประเมินเรียกเก็บภาษีและคำชี้ขาดดังกล่าว ชอบหรือไม่ ในปัญหาข้อนี้ เห็นว่า โจทก์ขอเสียค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีดังกล่าว โดยคิดค่ารายปีจากจำนวนค่าเช่าอาคารที่โจทก์ให้เช่าได้ ซึ่งมีระบุไว้ละเอียดในเอกสารแนบท้ายสัญญาเช่าทุกฉบับ จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ โต้แย้งว่าเอกสารแนบท้ายสัญญาเช่าที่โจทก์อ้างนั้นมิใช่ส่วนหนึ่งของสัญญาเช่า เพราะตามสัญญาเช่ามิได้ระบุอ้างไว้แต่ประการใด ทั้งโจทก์ทำขึ้นภายหลังรับฟังไม่ได้ ศาลฎีกาได้พิจารณาเอกสารแนบท้ายสัญญาเช่ามีข้อความว่า เอกสารนี้เป็น ส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าและโจทก์ในฐานะผู้ให้เช่าและผู้เช่าทุกรายได้ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารนี้ด้วย โจทก์ทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าครั้งแรกในปี ๒๕๓๔ ในปีต่อมาได้ทำสัญญาใหม่กับผู้เช่าปีต่อปี ตามงบกำไรขาดทุนและงบกำไรสะสม แสดงให้เห็นได้ว่ารายได้ของโจทก์มาจากค่าเช่าและค่าบริการรวมอยู่ด้วยในรายการเดียวกันทุกปี นอกจากนั้นใบเสร็จรับเงินที่โจทก์ออกให้แก่ผู้เช่าตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ เป็นต้นไป ทุกฉบับได้เขียนแยกค่าเช่าและค่าบริการออกจากกันตรงกับที่ระบุไว้ในเอกสารแนบท้ายสัญญาเช่าทุกฉบับ และโจทก์ได้เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนค่าบริการจากผู้เช่าไว้ด้วย สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์ได้ออกใบกำกับภาษีและรายงานภาษีขาย จึงเห็นได้ชัดแจ้งว่า เอกสารแนบท้ายสัญญาเช่า ซึ่งมีการระบุทั้งค่าเช่าและค่าบริการแยกไว้ชัดเจนทุกฉบับ ถือได้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าย่อมรับฟังได้ หาจำต้องระบุไว้ในสัญญาประธานว่า มีข้อสัญญาได้กำหนดให้มีเอกสารแนบท้ายสัญญาโดยถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประธานนั้น ดังที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์ไม่ ตาม พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๘ กำหนดให้คิดค่าภาษีตามค่ารายปีของทรัพย์สินและค่ารายปีให้หมายความว่าจำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้น ๆ สมควรจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ เท่าใด ถ้าทรัพย์สินนั้นให้เช่าให้ใช้ค่าเช่าเป็นหลักคำนวณค่ารายปี แต่ถ้ามีเหตุอันบ่งให้เห็นว่า ค่าเช่านั้นมิใช่จำนวนเงินอันสมควร พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจแก้หรือคำนวณค่ารายปีเสียใหม่ได้ สำหรับสัญญาเช่าคดีนี้ จำเลยไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่า ค่าเช่ารายพิพาทนี้มิใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ กรณีจึงไม่มีเหตุบ่งชี้ให้เห็นว่าค่าเช่าตามเอกสารแนบท้ายสัญญาเช่าอาคารตามฟ้องมิใช่จำนวนอันสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ ในการคำนวณภาษีซึ่งจะต้องเสียค่ารายปีจึงต้องถือตามจำนวนค่าเช่าที่โจทก์รับมาตามเอกสารแนบท้ายสัญญาเช่า ดังนั้นการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ประเมินเรียกเก็บค่ารายปีโดยถือเอาค่าเช่าและค่าบริการรวมอยู่ด้วยนั้นจึงไม่ถูกต้อง การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่และคำชี้ขาดของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นธรรมและชอบด้วยกฎหมาย ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินส่วนที่เกินจากการประเมินใหม่ทั้งหมดให้แก่โจทก์ ภายใน ๓ เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้ ซึ่งหมายถึง นับแต่วันอ่านคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางนั้น เมื่อได้ความว่าคดีนี้มิได้ถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๙ วรรคสอง ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง คือให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินภาษีให้โจทก์ภายในกำหนด ๓ เดือน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินและคำชี้ขาดของจำเลยที่ ๑ ในปีภาษี ๒๕๓๔ ถึง ๒๕๓๙ โดยให้ประเมินค่ารายปีและค่าภาษีของอาคารโจทก์ใหม่ ให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินส่วนที่เกินจากการประเมินใหม่ทั้งหมดให้แก่โจทก์ภายใน ๓ เดือน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ถ้าไม่คืนในกำหนดดังกล่าวให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันครบกำหนด ๓ เดือน จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน ๕,๓๒๐ บาท แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง.

Share