แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อต้องส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้เช่าซื้อ โดยมีสภาพที่เหมาะสมแก่การใช้ประโยชน์ เมื่อรถพิพาทยังมิได้ทำทะเบียนและแผ่นป้ายวงกลม โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องจัดหาให้แก่จำเลย เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นสาระสำคัญในการใช้รถโดยจะต้องเป็นผู้จัดอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนเพื่อใช้รถที่เช่าซื้อตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าซื้อ การที่โจทก์ส่งมอบรถพิพาทให้แก่จำเลยมีสภาพไม่เหมาะสมที่จะใช้ โดยไม่จัดหาป้ายทะเบียนและป้ายวงกลมให้แก่จำเลย โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 ประกอบมาตรา 549เนื่องจากสัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่ชำระค่าเช่าซื้อได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 การที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์จึงไม่ถือว่าจำเลยผิดนัด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถกระบะยี่ห้ออีซูซุหมายเลขเครื่องยนต์ 836810 ไปจากโจทก์ในราคา 195,192 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 1 ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน แต่จำเลยที่ 1 ไม่คืนรถให้โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการนำรถออกให้เช่าในอัตราเดือนละ 3,500 บาท นับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 353,616 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 160,000 บาทหากจำเลยคืนรถแล้วแต่รถมีสภาพชำรุดเสียหายหรือเสื่อมสภาพทำให้โจทก์ขายได้เงินไม่ครบ 160,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ส่วนที่ขาดจนครบ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเงิน 353,616 บาท และค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 3,500 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาแทน กับค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน35,953.12 บาท และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มของเงินทุกจำนวนที่ต้องชำระแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อรถไปจากโจทก์ แต่เคยซื้อรถกระบะยี่ห้ออีซูซุจากบริษัทมหาราชยานยนต์จำกัด แต่เมื่อจำเลยรับรถมาแล้วผู้ขายไม่สามารถนำทะเบียนรถยนต์มาให้จำเลยได้ จำเลยจึงได้นำรถไปคืนให้แก่บริษัทมหาราชยานยนต์จำกัด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องรถคืนและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 160,000 บาทและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์จำนวน 198,000 บาทกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการที่โจทก์ไม่จัดหาป้ายทะเบียนและป้ายวงกลมให้แก่จำเลยที่ 1 นั้นโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ในฐานะผู้ให้เช่าซื้อต้องส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้เช่าซื้อโดยมีสภาพที่เหมาะแก่การใช้ประโยชน์โดยโจทก์จะต้องเป็นผู้จัดอำนวยความสะดวกแก่จำเลยที่ 1ในการจดทะเบียนเพื่อใช้รถที่เช่าซื้อ ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 10 วรรคสองดังนั้น เมื่อรถพิพาทยังมิได้ทำทะเบียนและแผ่นป้ายวงกลมโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องจัดหาให้แก่จำเลยที่ 1 เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นสาระสำคัญในการใช้รถ การที่โจทก์ส่งมอบรถพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1โดยรถมีสภาพไม่เหมาะสมที่จะใช้ โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 ประกอบมาตรา 549 และเนื่องจากสัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาต่างตอบแทนเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิที่จะไม่ชำระค่าเช่าซื้อได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369การที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จึงไม่ถือว่าจำเลยที่ 1ผิดนัด เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังไม่เลิกกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน