คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9503/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การโอนไปโดยสมบูรณ์ซึ่งทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งข้อกำหนดพินัยกรรมอันจะทำให้ข้อกำหนดพินัยกรรมนั้นเป็นอันเพิกถอนไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1696 วรรคหนึ่ง หมายถึงการโอนทรัพย์สินที่ยังมีผลอยู่ในขณะที่ผู้ทำพินัยกรรมตาย เมื่อ ฟ. ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 เลขที่ 182 ให้แก่ น. และเลขที่ 206 ให้แก่ น. กับโจทก์ที่ 8 แล้ว แม้ต่อมา ฟ.ได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่ น. โดยเสน่หาแต่หลังจากนั้น ฟ. ก็ได้ฟ้องขอถอนคืนการให้และขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกลับคืนมาเป็นของ ฟ. จึงถือไม่ได้ว่า ฟ. ได้โอนไปโดยสมบูรณ์ซึ่งทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งข้อกำหนดพินัยกรรม ข้อกำหนดพินัยกรรมนั้นจึงหาเป็นอันเพิกถอนไปไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายหว่างหรือสว่าง อบสิน กับนางฟ้อย อบสินเป็นสามีภริยากันมีบุตรด้วยกัน 10 คน คือโจทก์ทั้งแปดกับนายผวน อบสิน และนางน้อย อบสินหรือสมใจ จำเลยเป็นบุตรของนายพร สมใจ กับนางน้อย เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2532นางฟ้อยได้ถึงแก่กรรม จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางฟ้อยตามคำสั่งศาลก่อนที่นางฟ้อยจะถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 1กันยายน 2520 นางฟ้อยได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองไว้ที่อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ยกที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 206 ให้แก่นางน้อยและโจทก์ที่ 8 และยกที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 182 ให้แก่นางน้อย ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน2523 นางฟ้อยได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่นางน้อยโดยเสน่หา และเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2526 นางน้อยได้จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 206 ให้แก่นายประพักตร์ สมใจ หลังจากนั้นนางฟ้อยได้ฟ้องนางน้อยเป็นจำเลยขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้นางน้อยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวคืนให้แก่นางฟ้อยแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม2531 นางฟ้อยได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองตัดนางน้อยมิให้รับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม โจทก์ทั้งแปดจึงได้แจ้งให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางฟ้อยโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ทั้งแปด แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ทั้งแปด หากจำเลยไม่จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งแปดไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 182ส่วนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 206โจทก์ที่ 8 เท่านั้นที่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยโอนที่ดินดังกล่าวได้เนื่องจากนางฟ้อยได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองฉบับลงวันที่1 กันยายน 2520 ยกที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 182 ให้แก่นางน้อยแต่เพียงผู้เดียว ส่วนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 206 ยกให้แก่นางน้อยและโจทก์ที่ 8 นางฟ้อยมิได้ทำพินัยกรรมตัดมิให้นางน้อยรับมรดก เพียงแต่ทำหนังสือตัดมิให้นางน้อยรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมเท่านั้น นางน้อยจึงยังมีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงในฐานะทายาทตามพินัยกรรม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า นางฟ้อยทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2520ยกที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 182 ให้แก่นางน้อยและที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 206ให้แก่นางน้อยและโจทก์ที่ 8 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2526นางฟ้อยฟ้องนางน้อยขอถอนคืนการให้ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 182 เพราะเหตุประพฤติเนรคุณต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 1161/2528 ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ถอนคืนการให้ คดีถึงที่สุด เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2527นางฟ้อยฟ้องนางน้อยและนายประพักตร์เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 206 ซึ่งได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยนายประพักตร์ยินยอมโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้นางฟ้อยคดีถึงที่สุดแล้ว ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 360/2527ของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2531 นางฟ้อยทำหนังสือตัดทายาทโดยธรรมตัดมิให้นายผวน อบสิน และนางน้อยรับมรดก
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 182 และเลขที่ 206ตำบลบางม่วง อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ให้แก่โจทก์ทั้งแปด หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วจำเลยฎีกาในประการแรกว่าเมื่อนางฟ้อยทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองลงวันที่ 1 กันยายน2530 ยกที่ดินพิพาทให้นางน้อยแปลงหนึ่ง และให้นางน้อยกับโจทก์ที่ 8 อีกแปลงหนึ่งแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่านางฟ้อยได้ทำลายพินัยกรรมฉบับดังกล่าวหรือทำพินัยกรรมใหม่ขึ้นมาล้างพินัยกรรมเดิม พินัยกรรมเดิมฉบับลงวันที่ 1 กันยายน 2520จึงยังมีผลใช้บังคับ และแม้ต่อมานางฟ้อยจะได้ทำพินัยกรรมตัดมิให้นางน้อยได้รับมรดกแต่ก็เป็นเพียงหนังสือตัดทายาทโดยธรรม หามีผลทำให้พินัยกรรมฉบับลงวันที่ 1 กันยายน 2520ดังกล่าวเสียหายแต่อย่างใดไม่ นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1673 บัญญัติว่า สิทธิและหน้าที่ใด ๆอันเกิดขึ้นตามพินัยกรรมให้มีผลบังคับเรียกร้องกันได้ตั้งแต่ผู้ทำพินัยกรรมตายเป็นต้นไป เว้นแต่ผู้ทำพินัยกรรมจะได้กำหนดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาให้มีผลบังคับเรียกร้องกันได้ภายหลังและมาตรา 1696 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าผู้ทำพินัยกรรมได้โอนไปโดยสมบูรณ์ซึ่งทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งข้อกำหนดพินัยกรรมใดด้วยความตั้งใจ ข้อกำหนดพินัยกรรมนั้นเป็นอันเพิกถอนไป ดังนั้นการโอนไปโดยสมบูรณ์ซึ่งทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งข้อกำหนดพินัยกรรมอันจะทำให้ข้อกำหนดพินัยกรรมนั้นเป็นอันเพิกถอนไป จึงหมายถึงการโอนทรัพย์สินที่ยังมีผลอยู่ในขณะที่ผู้ทำพินัยกรรมตาย สำหรับคดีนี้หลังจากนางฟ้อยทำพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 1 กันยายน 2520ยกที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 182 ให้แก่นางน้อยและเลขที่ 206 ให้แก่นางน้อยกับโจทก์ที่ 8 แล้วแม้ต่อมานางฟ้อยได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่นางน้อยโดยเสน่หาแต่หลังจากนั้นนางฟ้อยก็ได้ฟ้องขอถอนคืนการให้และขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกลับคืนมาเป็นของนางฟ้อย จึงถือไม่ได้ว่านางฟ้อยได้โอนไปโดยสมบูรณ์ซึ่งทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งข้อกำหนดพินัยกรรมตามพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 1 กันยายน 2520 ข้อกำหนดพินัยกรรมนั้นจึงหาเป็นอันเพิกถอนไปไม่ ดังนั้น เมื่อนางฟ้อยถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 182 จึงเป็นทรัพย์มรดกของนางฟ้อยตกได้แก่นางน้อย และที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 206 เป็นทรัพย์มรดกของนางฟ้อยตกได้แก่นางน้อยกับโจทก์ที่ 8 โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 จึงไม่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งที่ดินพิพาททั้งสองแปลง คงมีเพียงโจทก์ที่ 8 เท่านั้นที่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 206 ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทั้งแปดไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่โจทก์นั้น เห็นว่าเมื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 ไม่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินพิพาททั้งสองแปลง โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 จึงไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 ได้ส่วนโจทก์ที่ 8 เป็นผู้รับพินัยกรรมของนางฟ้อยในที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 206 จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางน้อยย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องแบ่งมรดกของนางน้อยแก่โจทก์ที่ 8 เมื่อโจทก์ที่ 8 แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ที่ 8 แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ที่ 8 จึงมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 206แก่โจทก์ที่ 8 ได้ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 8เกี่ยวกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 182 เล่ม 15หน้า 159 ตำบลบางม่วง อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์และยกฟ้องของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 เกี่ยวกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 206 เล่ม 15 หน้า 164ตำบลบางม่วง อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 206เล่ม 15 หน้า 164 ตำบลบางม่วง อำเภอเมืองนครสวรรค์จังหวัดนครสวรรค์ แก่โจทก์ที่ 8 กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share