แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่า โจทก์สมรสกับจำเลยในขณะโจทก์ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของชายอื่นอยู่ จดทะเบียนสมรสกันตามสำเนาภาพถ่ายทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง จำเลยสมรสกับโจทก์โดยสำคัญผิด หลงเชื่อโดยสุจริตตามคำบอกกล่าวของโจทก์ว่าโจทก์ได้หย่าขาดจากชายอื่นแล้วและไม่ได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งเพียงว่า ข้อความตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไม่เป็นความจริงเพราะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยความยินยอมและสมัครใจมิใช่เนื่องจากกลฉ้อฉลหรือสำคัญผิดแต่อย่างใด โจทก์ไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงข้อที่ว่าโจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่ในขณะสมรสกับจำเลยและไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องแท้จริงของสำเนาทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง ประกอบกับตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งในข้อสุดท้ายของโจทก์ที่ว่าจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีตั้งแต่ต้น หากการสมรสไม่ชอบ ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อเช่นนี้ เท่ากับโจทก์ยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ทำการสมรสกับจำเลยในขณะที่โจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการชี้สองสถานและการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ชอบแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จำเลยได้สมรสอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกันก่อนสมรสโจทก์ประกอบอาชีพมีรายได้ หลังสมรสจำเลยขอให้โจทก์ออกจากงานจำเลยอุปการะเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ40,000 บาทภายหลังจำเลยได้จงใจละทิ้งร้างโจทก์แล้วไม่ได้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์อีกเลยขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูตั้งแต่เดือนมีนาคม 2527 ถึงเดือนกรกฎาคม 2527 รวม 5เดือนเป็นเงิน 200,000 บาทแก่โจทก์ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูประจำเดือนให้โจทก์เป็นเงินเดือนละ 40,000 บาทนับแต่เดือนสิงหาคม 2527 เป็นต้นไปทุกเดือน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยจำเลยสำคัญผิดหลงเชื่อตามคำบอกกล่าวของโจทก์ว่าโจทก์ได้หย่าขาดกับสามีเดิมของโจทก์ โจทก์ไม่ได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่ในขณะนั้น ซึ่งความจริงแล้วในขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไมเคิลคนสัญชาติอังกฤษโดยได้จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามแบบที่บัญญัติไว้ในกฎหมายอังกฤษ ดังปรากฏตามสำเนาทะเบียนสมรสรับรองโดยสำนักทะเบียนกลางประเทศอังกฤษพร้อมคำแปลเอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้งหมายเลข 1 และจำเลยยังคงเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไมเคิลตลอดมาจนบัดนี้ การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นโมฆะจำเลยไม่ได้ละทิ้งโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยไม่มีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายประจำเดือนจากจำเลยเนื่องจากการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยฟ้องแย้งของจำเลยไม่เป็นความจริงปราศจากหลักฐานรับฟังไม่ได้ ทั้งนี้เพราะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยความยินยอมและสมัครใจ มิใช่เนื่องจากกลฉ้อฉลหรือสำคัญผิดโจทก์ไม่เคยตกลงยินยอมหรือสมัครใจที่จะแยกกันอยู่กับจำเลยจำเลยเป็นฝ่ายละทิ้งร้างโจทก์ไป ที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะนั้นหากโจทก์สมรสกับจำเลยในขณะที่โจทก์มีคู่สมรสอื่นอยู่จริงจำเลยก็ไม่มีอำนาจขอให้ศาลมีคำพิพากษาเช่นนี้ทั้งนี้ เพราะจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงวันจดทะเบียนสมรสโดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยเป็นผู้โน้มน้าวให้โจทก์ยอมสมรสกับจำเลยต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อจำเลยจึงถูกกฎหมายปิดปากจำเลยใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การและฟ้องแย้งและคำให้การแก้ฟ้องแย้งแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้แล้วโดยไม่ต้องสืบพยาน จึงให้งดชี้สองสถานงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาที่ว่าการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1496 เพราะเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1452 เนื่องจากโจทก์ทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้วหรือไม่นั้นในปัญหาดังกล่าวโจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้ให้การปฏิเสธแก้ฟ้องแย้งของจำเลยไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าข้ออ้างของจำเลยตามฟ้องแย้งข้อ 2.1 ถึง 2.2 ไม่เป็นความจริงเห็นว่าตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในข้อ 2.1 และ 2.2 จำเลยปฏิเสธฟ้องของโจทก์โดยอ้างว่าในขณะสมรสโจทก์ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไมเคิลจดทะเบียนสมรสกันตามสำเนาภาพถ่ายทะเบียนสมรสรับรองโดยสำนักทะเบียนกลางประเทศอังกฤษพร้อมคำแปลเอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้งหมายเลข 1 จำเลยสมรสกับโจทก์โดยสำคัญผิดหลงเชื่อโดยสุจริตตามคำบอกกล่าวของโจทก์ว่าโจทก์ได้หย่าขาดกับนายไมเคิลแล้วและไม่ได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นในขณะนั้นจำเลยจึงตกลงเข้าทำการสมรสกับโจทก์ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งเพียงว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริงเพราะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยความยินยอมและสมัครใจมิใช่เนื่องจากกลฉ้อฉลหรือสำคัญผิดแต่อย่างใดโจทก์ไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงข้อที่ว่าโจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นในขณะที่สมรสกับจำเลยและไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องแท้จริงของสำเนาทะเบียนสมรสเอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไว้เลยประกอบกับตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งในข้อสุดท้ายของโจทก์ที่ว่าโจทก์ขอให้การตัดฟ้องแย้งของจำเลยว่าจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงวันจดทะเบียนสมรสและเป็นผู้โน้มน้าวให้โจทก์ยอมสมรสกับจำเลยหากการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายจริงก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อ จำเลยถูกกฎหมายปิดปากการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเช่นนี้เห็นได้ว่า ตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์โจทก์ยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ทำการสมรสกับจำเลยในขณะที่โจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นจึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นแห่งคดีที่พิพาทกันในข้ออื่นต่อไปศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการชี้สองสถานและการสืบพยานโจทก์จำเลยชอบแล้วที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะยกฟ้องของโจทก์นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน.