คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 948/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทนายจำเลยแถลงหมดพยาน กรณีมิใช่ทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนคดีไปสืบพยานจำเลยต่อ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ถูกต้องแล้ว
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าทนายจำเลยแถลงหมดพยานมิใช่แถลงขอเลื่อนคดี เท่ากับศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาถูกต้องแล้ว แต่การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต่อไปว่าเมื่อทนายจำเลยแถลงหมดพยานจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยต่อไป จึงไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์นั้น เมื่อคดีนี้ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 และจำเลยอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าผิดระเบียบ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยและพิพากษายกอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,615,607.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 1,169,585.49 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
เมื่อโจทก์นำพยานเข้าสืบเสร็จแล้วจำเลยทั้งสองนำพยานเข้าสืบ 1 ปาก ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาในวันสืบพยานจำเลยดังกล่าวว่า ทนายจำเลยทั้งสองแถลงหมดพยาน คดีเป็นอันเสร็จการพิจารณา ให้นัดฟังคำพิพากษา จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงว่า จำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดี แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษา จึงขอคัดค้านเพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,615,607.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 1,169,585.49 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 7 ตุลาคม 2539) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 2859 และ 8642 ตำบลสีคิ้ว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งงดสืบพยาน ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ว่าทนายจำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีและนัดหน้าจะนำพยานมาสืบให้แล้วเสร็จภายในนัดเดียวจะไม่ขอเลื่อนคดีอีก หากมีพยานมาเท่าใดจะสืบเท่านั้น ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยทั้งสองวันที่ 22 ธันวาคม 2540 และตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 22 ธันวาคม 2540 ปรากฏว่าเมื่อสืบพยานจำเลยทั้งสองได้ 1 ปาก ทนายจำเลยทั้งสองแถลงหมดพยานซึ่งเป็นไปตามที่ทนายจำเลยทั้งสองแถลงต่อศาลชั้นต้นไว้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าในวันที่ 22 ธันวาคม 2540 ทนายจำเลยทั้งสองแถลงหมดพยาน มิใช่แถลงขอเลื่อนคดีไปสืบพยานจำเลยที่ 2 ต่อ แต่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยทั้งสองและนัดฟังคำพิพากษาตามคำแถลงคัดค้าน รวมทั้งอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาถูกต้องแล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า หลังจากสืบพยานจำเลยทั้งสองได้ 1 ปาก แล้วทนายจำเลยทั้งสองแถลงหมดพยานมิใช่ทนายจำเลยทั้งสองแถลงขอเลื่อนคดี เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาถูกต้องแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบที่จะพิพากษายืน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยต่อไปว่า เมื่อทนายจำเลยทั้งสองแถลงหมดพยาน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่โดยการสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์นั้น คดีนี้ไม่ใช่คดีต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าผิดระเบียบ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองและพิพากษายกอุทธรณ์ จึงไม่ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในส่วนที่ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์และที่พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share