คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3766/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปครั้งแรกแล้ววันรุ่งขึ้นมารดาผู้เยาว์พาผู้เยาว์กลับมา จำเลยหาได้ดำเนินการขอขมาหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามประเพณีเพื่อจะอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เยาว์ หลังจากนั้นอีกประมาณ 5 วันจำเลยยังขืนพรากผู้เยาว์เร่ร่อนไปพักอาศัยบ้านผู้อื่นหลายแห่งหลายจังหวัดเป็นเวลานานประมาณ 1 เดือน โดยไม่ส่งข่าวให้บิดามารดาผู้เยาว์ทราบเลย ทั้ง ๆ ที่บิดามารดาผู้เยาว์ได้กำชับมิให้จำเลยยุ่งเกี่ยวกับผู้เยาว์อีก หลังจากนั้นจำเลยจึงพาผู้เยาว์กลับมาที่บ้านจำเลย แต่จำเลยก็หาได้แจ้งบิดามารดาผู้เยาว์ทราบว่าจำเลยกับผู้เยาว์กลับมาอยู่ที่บ้านจำเลย และมีความประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยา อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พาผู้เยาว์ไปพบหรือแจ้งให้บิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ของจำเลยทราบเลยว่าผู้เยาว์เป็นภริยาของตน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวประกอบกับผู้เยาว์มีอายุเพียง 16 ปีเศษ กำลังศึกษาเล่าเรียน จำเลยยังขืนพรากผู้เยาว์ไปในที่ต่าง ๆ เพื่อมิให้บิดามารดาผู้เยาว์ขัดขวางการกระทำของจำเลย ย่อมเห็นได้ชัดว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะพาผู้เยาว์ไปอยู่กินฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข แต่เป็นเรื่องที่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา นายทองใบ สิงห์พรหม ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคหนึ่ง จำคุก 3 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุนางสาวณัฐพร สิงห์พรหม ผู้เสียหายมีอายุ 16 ปี 6 เดือนกำลังศึกษาและอยู่ในความปกครองของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาและนางสมจิตรมารดา จำเลยได้พาผู้เสียหายไปจากความปกครองของบิดามารดา 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2539 จำเลยพาผู้เสียหายไปค้างคืนที่บ้านนางจันทร์ ปิ่นสอาด อาจำเลยที่อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี รุ่งเช้ามารดาผู้เสียหายตามไปพบและพาผู้เสียหายกลับบ้านพร้อมทั้งห้ามจำเลยมิให้ยุ่งเกี่ยวกับผู้เสียหายอีก ครั้งที่สองวันที่ 23 มกราคม 2539 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุจำเลยพาผู้เสียหายไปค้างบ้านเพื่อนจำเลยที่อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ต่อจากนั้นไปพักที่บ้านนางหมูที่อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ นานประมาณ 1 สัปดาห์ จึงพาผู้เสียหายกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อนอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท อีก 1 สัปดาห์แล้วจึงพากันมาอยู่ที่บ้านจำเลย อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2539 จนกระทั่งวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2539 เจ้าพนักงานตำรวจจึงจับกุมจำเลยได้ ในระหว่างที่จำเลยพาผู้เสียหายไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ นั้น จำเลยกับผู้เสียหายได้สมัครใจร่วมประเวณีกันมาตลอด มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยได้พรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารหรือไม่ จำเลยฎีกาอ้างว่าผู้เสียหายกับจำเลยรักใคร่กันจึงสมัครใจหนีบิดามารดาไปเป็นสามีภริยากันแล้วจะแต่งงานตามประเพณีและจดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง การกระทำของจำเลยจึงหาใช่เป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารไม่ เห็นว่า การที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2539 วันรุ่งขึ้นมารดาผู้เสียหายพาผู้เสียหายกลับมาแล้ว จำเลยหาได้ดำเนินการขอขมาหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามประเพณีเพื่อจะอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหาย หลังจากนั้นอีกประมาณ 5 วัน จำเลยยังขืนพรากผู้เสียหายเร่ร่อนไปพักอาศัยบ้านผู้อื่นหลายแห่งหลายจังหวัดเป็นเวลานานประมาณ 1 เดือน โดยไม่ส่งข่าวให้บิดามารดาผู้เสียหายทราบเลย ทั้ง ๆ ที่บิดามารดาผู้เสียหายได้กำชับมิให้จำเลยยุ่งเกี่ยวกับผู้เสียหายอีก หลังจากนั้นจำเลยจึงพาผู้เสียหายกลับมาที่บ้านจำเลย แต่จำเลยก็หาได้แจ้งให้บิดามารดาผู้เสียหายทราบว่า จำเลยกับผู้เสียหายกลับมาอยู่ที่บ้านจำเลยแล้วและมีความประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยา อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พาผู้เสียหายไปพบหรือแจ้งให้บิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ของจำเลยทราบเลยว่าผู้เสียหายเป็นภริยาของตน จนกระทั่งวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2539 บิดามารดาผู้เสียหายสืบทราบว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปอยู่ที่บ้านจำเลยจึงไปแจ้งความและจับจำเลยได้ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2539 จำเลยเพิ่งจะอ้างในชั้นสอบสวนว่า ต้องการผู้เสียหายเป็นภริยาและจะดำเนินการตามประเพณีต่อไปตามพฤติการณ์การกระทำต่าง ๆ ของจำเลยดังกล่าวมา ประกอบกับผู้เสียหายมีอายุเพียง 16 ปีเศษ กำลังศึกษาเล่าเรียน จำเลยยังขืนพรากผู้เสียหายไปในที่ต่าง ๆ เพื่อมิให้บิดามารดาผู้เสียหายขัดขวางการกระทำของจำเลย ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะพาผู้เสียหายไปอยู่กินฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข แต่เป็นเรื่องที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าจะไปขอขมาบิดามารดาผู้เสียหายและจะอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหายจึงเป็นเรื่องที่ยกขึ้นแก้ตัวในภายหลังเพื่อให้จำเลยพ้นผิดเท่านั้น ข้ออ้างดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นอย่างไรก็ตาม คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยที่ยอมรับว่าพรากผู้เยาว์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ และได้เสียกับผู้เยาว์จริงนั้น นับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างจึงเป็นเหตุบรรเทาโทษ แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาข้อนี้มา ศาลฎีกาก็มีอำนาจลดโทษให้จำเลยได้”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share