คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ที่ 2 ได้โอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ที่ 1 แล้ว โจทก์ที่ 1 ได้เช่าตรงต่อทรัพย์สินฯ จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 ได้บอกให้จำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาท จำเลยไม่ยอมออกจึงฟ้องขอให้บังคับ
ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมานี้แสดงว่าโจทก์เป็นผู้เช่าสถานที่พิพาทจากทรัพย์สินฯ จำเลยเป็นผู้อาศัย และโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยออกจากสถานที่เช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมออก เช่นนี้โดยปกติโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยได้ ส่วนข้อต่อสู้จำเลยจะมีอย่างไรเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ควรรับไว้พิจารณาต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ที่ 1 ได้รับโอนสิทธิการเช่าจากโจทก์ที่ 2 ผู้เช่าเดิม

เดิมโจทก์ที่ 2 จ้างจำเลยจัดการค้าในห้องเช่าเมื่อโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ที่ 1 แล้ว โจทก์ที่ 2 ได้เช่าตรงต่อทรัพย์สินฯ โจทก์ที่ 2 บอกเลิกจ้างจำเลยและแจ้งให้จำเลยออก จำเลยไม่ยอมออกจึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร

พร้อมกับการยื่นฟ้อง โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเรียกสำนักงานทรัพย์สินฯ ผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม

ในชั้นสั่งฟ้องศาลแขวงพระนครเหนือเห็นว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยได้เพราะไม่ใช่เจ้าของที่พิพาท โจทก์ที่ 1 เป็นเพียงแต่ผู้เช่ายังไม่ได้เข้าครอบครองที่เช่าเลย เมื่อเข้าครอบครองไม่ได้ก็ชอบที่จะว่ากล่าวเอากับผู้ให้เช่า ส่วนโจทก์ที่ 2 เมื่อโอนสิทธิการเช่าไปแล้วก็ไม่มีสิทธิอะไรเหลือให้เกิดอำนาจฟ้องและการที่โจทก์ขอให้เรียกสำนักงานทรัพย์สินฯ เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมนั้น เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องได้เองแล้ว ก็ไม่มีสิทธิขอให้เรียกผู้ใดเข้ามาในคดี พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นรับประทับฟ้องโจทก์และเรียกสำนักงานทรัพย์สินฯ เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามคำขอของโจทก์ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามรูปคดี

จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องโจทก์ดังที่บรรยายมาแสดงว่า โจทก์เป็นผู้เช่าสถานที่พิพาทจากทรัพย์สินฯ จำเลยเป็นผู้อาศัย และโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยออกจากสถานที่เช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมออกเช่นนี้โดยปกติโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยได้ ส่วนข้อต่อสู้จำเลยจะมีอย่างไรเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นพิจารณา พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share