แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยขาดเจตนา อันเป็นการพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1โอนกิจการโรงเรียนให้จำเลยที่ 2 ภายหลังจากโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ จำนวน 37,187 บาท ในคดีอาญาของศาลแขวงพระนครเหนือ จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดนอกจากกิจการโรงเรียนอังศุมาศวิทยา จำเลยทั้งสองเพื่อไม่ให้โจทก์รับชำระหนี้ได้ร่วมกันโอนกิจการโรงเรียนอังศุมาศวิทยาให้แก่จำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้และได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลแล้วไม่อาจได้รับชำระหนี้ได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83, 90
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า… การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาอันเป็นการพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 โอนกิจการโรงเรียนให้จำเลยที่ 2 ภายหลังจากที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลเรียบร้อยแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22”
พิพากษายืน