คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องของโจทก์แม้จะไม่ใช้ถ้อยคำดัง กฎหมายลักษณะอาญาบัญญัติไว้ในมาตรา 304,306 แต่เมื่อมีข้อความให้เข้าใจได้ดังนั้นก็เป็นการเพียงพอ
โจทก์ฟ้องบรรยายว่าจำเลยบังอาจใช้อุบายประกอบด้วยคำเท็จมากล่าวหลอกลวงบอกขายสายสร้อยคอทองคำ 3 สายว่าเป็นทองคำแท้ แก่เจ้าทรัพย์เป็นเงิน 1250 บาท เจ้าทรัพย์หลงเชื่อคำเท็จของจำเลยว่าเป็นทองดี จึงมอบเงินจำนวน 1250 บาทแก่จำเลยไป จำเลยได้รับเงินแล้ว ก็เอาไปเป็นประโยชน์ตนเสีย ซึ่งความจริงไม่ใช่ทองคำอันแท้จริง ดังนี้ก็เป็นฟ้องที่มีองค์เกณฑ์ครบตาม มาตรา 304,310 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศภาคม 2492 เวลากลางวันจำเลยได้บังอาจใช้อุบายประกอบด้วยเอาคำเท็จมากล่าวหลอกลวงบอกขายสายสร้อยทองคำ 3 สายน้ำหนัก 2 บาท 3 สลึง 8 หุ้น ว่าเป็นทองคำแท้ แก่นายเป็กฮวย แซ่เตียเป็นเงิน 1250 บาท แก่จำเลยไปจำเลยได้รับเงินแล้ว ก็เอาไปเป็นประโยชน์ตนเสีย ซึ่งความจริงไม่ใช่ทองคำอันแท้จริง เหตุเกิดตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์

ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้รู้อยู่แล้วว่าเป็นทองเก๊และไม่บรรยายว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์เพียงพอสำหรับมาตรา 310 ซึ่งโจทก์ขอให้ลงโทษมาด้วย จึงให้ศาลชั้นต้นพิจารณาต่อไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์กล่าวว่า จำเลยได้บังอาจใช้อุบายประกอบด้วยคำเท็จมากล่าวหลอกลวง เพียงพอที่จะแสดงว่าจำเลยได้รู้อยู่ว่าข้อกล่าวของตนเป็นความเท็จ ถ้าไม่รู้ว่าเท็จจะว่ามาหลอกลวงได้อย่างไร ประกอบกับตอนท้ายที่ว่าจำเลยได้รับเงินแล้ว ก็เอาไปเป็นประโยชน์ตนเสีย แสดงให้เห็นได้อยู่แล้วว่า จำเลยมีเจตนาทุจริต แม้ฟ้องจะไม่ใช้ถ้อยคำดังกฎหมายอาญา บัญญัติไว้ในมาตรา 304, 306 แต่เมื่อมีข้อความให้เข้าใจได้ดังนี้ ก็เป็นการเพียงพอ จึงพิพากษายืน

Share