แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้เช่าตึกแถวที่เกิดเหตุจากเจ้าของเดิมเมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ออกไปจากตึกแถวและไม่ชำระค่าเช่า แก่เจ้าของเดิม บุตรสาวโจทก์ได้ทำบันทึกข้อตกลงยอมชำระ ค่าเช่าที่ค้างชำระนั้น และจะชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนต่อ ๆ ไป ถ้าผิดข้อตกลงยอมให้เจ้าของเดิมเข้าครอบครองตึกแถว ที่เกิดเหตุได้ ซึ่งไม่ปรากฏว่าโจทก์คัดค้านโต้แย้งข้อตกลงนี้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์โดยมิพักต้องคำนึงว่ามี หนังสือมอบอำนาจจากโจทก์ให้บุตรสาวโจทก์ทำบันทึกข้อตกลงนั้น หรือไม่ และข้อตกลงนี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม อันดีของประชาชนจึงใช้บังคับได้ ต่อมาบุตรสาวโจทก์และโจทก์ ผิดข้อตกลง จำเลยทั้งสองยังให้โอกาสแก่ฝ่ายโจทก์ ขอเวลาขนย้ายทรัพย์สินโดยไม่ติดใจเรียกร้องเอาค่าเช่าที่ค้างชำระแต่อย่างใด แต่โจทก์และครอบครัวก็มิได้ขนย้ายออกไป การที่ จำเลยทั้งสองเปิดกุญแจตึกแถวที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นจึงใช้ กุญแจของจำเลยปิดตึกแถวที่เกิดเหตุไว้ย่อมเป็นอำนาจของ จำเลยทั้งสองที่จะกระทำได้และถือว่าจำเลยทั้งสองได้ใช้สิทธิ เข้ายึดถือครอบครองตึกแถวที่เกิดเหตุแล้วโดยชอบตามที่ได้ ตกลงกันไว้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงหาเป็นความผิดฐาน ทำให้เสียทรัพย์หรือฐานบุกรุกไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกับพวกหลายคนได้ร่วมกันงัดทำลายลูกกุญแจ จำนวน 3 ลูก ราคา 600 บาท ซึ่งใช้ปิดบ้านของโจทก์ได้รับความเสียหายจนใช้การไม่ได้ และได้ร่วมกันลักทรัพย์สินในบ้านของโจทก์หลายรายการ นอกจากนี้จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกเข้ารบกวนการครอบครองบ้านของโจทก์โดยเอากุญแจของจำเลยใส่ปิดบ้านดังกล่าว ไม่ให้โจทก์เข้าไปใช้ประโยชน์และเข้าอยู่อาศัยมาจนกระทั่งบัดนี้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 334, 335, 362, 365, 83, 90, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองมิได้ยื่นคำให้การ ถือว่าจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งว่า โจทก์เช่าตึกแถวที่เกิดเหตุเลขที่ 89 ถนนสุชาดา ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จากเจ้าของเดิมเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวและค้าขาย เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าโจทก์ไม่ออกไปจากตึกแถวที่เกิดเหตุและไม่ได้ชำระค่าเช่าเป็นเวลาหลายเดือน วันที่ 31 มีนาคม 2535 นางสาวนันทกา เมธะคานนท์ บุตรสาวของโจทก์ทำบันทึกข้อตกลงยอมชำระค่าเช่าที่ค้างชำระแก่เจ้าของเดิมและตกลงเช่าตึกแถวที่เกิดเหตุต่อไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2535 ถ้าผิดสัญญายอมให้เจ้าของเดิมเข้าครอบครองตึกแถวที่เกิดเหตุได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและให้ถือว่าบันทึกข้อตกลงเป็นอันระงับสิ้นสุดลง ฝ่ายผู้เช่าไม่มีสิทธิครอบครองอยู่อาศัยและหรือใช้สอยประโยชน์ในตึกแถวที่เกิดเหตุอีกต่อไปตามเอกสารหมาย ล.1 แต่นางสาวนันทกาและโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าและเงินที่ค้างชำระแก่เจ้าของเดิม วันที่ 4 มิถุนายน 2535 จำเลยทั้งสองกับพวกได้ซื้อที่ดินพร้อมด้วยตึกแถวหลายห้องรวมทั้งตึกแถวที่เกิดเหตุจากเจ้าของเดิม ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.14 วันที่ 19 มิถุนายน 2535 จำเลยทั้งสองกับพวกมีหนังสือบอกกล่าวให้นางสาวนันทกาและโจทก์นำเงินค่าเช่าและเงินที่ค้างชำระมาชำระและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากตึกแถวที่เกิดเหตุโดยส่งหนังสือไปให้โจทก์และนางสาวนันทกาที่ตึกแถวที่เกิดเหตุ นางสาวนันทกาเป็นผู้รับหนังสือดังกล่าวตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 วันที่ 11 กรกฎาคม 2535 นางสาวนันทกาและนางอ่ายเกียง แซ่ตั้งภริยาของโจทก์ได้ทำบันทึกข้อตกลงยอมที่จะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวที่เกิดเหตุภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2535 โดยเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวไม่ติดใจเรียกเอาเงินที่ค้างชำระตามบันทึกข้อตกลงท้ายหนังสือบอกกล่าวเอกสารหมาย ล.4 เมื่อครบกำหนด โจทก์ นางสาวนันทกา และนางอ่ายเกียงมิได้ขนย้ายออกไปจากตึกแถวที่เกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุวันที่ 9 กรกฎาคม 2536 จำเลยทั้งสองให้ช่างเปิดกุญแจตึกแถวที่เกิดเหตุออกและเข้าไปในตึกแถวพร้อมกับถ่ายรูปไว้ตามภาพถ่ายหมาย ล.6 (18 ภาพ) หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองใช้กุญแจของจำเลยปิดประตูตึกแถวที่เกิดเหตุไว้แทน วันที่ 11 และวันที่ 23 กรกฎาคม 2536 จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าไปขนทรัพย์สินของโจทก์ออกไปจากตึกแถวที่เกิดเหตุ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นผู้เช่าตึกแถวที่เกิดเหตุจากเจ้าของเดิม เมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ออกไปจากตึกแถวและไม่ชำระค่าเช่าแก่เจ้าของเดิม โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า สัญญาเช่าเดิมครบกำหนดประมาณปี 2532 โจทก์ไม่ได้ต่อสัญญาและโจทก์ได้ไปสร้างโรงงานถ่านคาร์บอนและปลูกต้นยูคาลิปตัสอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชรทำโรงงานตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน ส่วนภริยาของโจทก์และบุตรได้ย้ายไปเปิดร้านค้าขายของอยู่ใกล้ ๆ ตึกแถวที่เกิดเหตุไม่ได้ค้าขายที่เดิมอีกดังนี้ เมื่อพิจารณาประกอบสภาพทรัพย์สินสิ่งของที่วางกระจัดกระจายอยู่ในตึกแถวที่เกิดเหตุตามภาพถ่ายหมาย ล.6 ภาพที่ 4 ถึงภาพที่ 7 และภาพที่ 9 ถึงภาพที่ 18 แล้วจะเห็นมีฝุ่นละอองจับเกรอะกรัง เต็มไปหมด ไม่ได้ว่างเป็นระเบียบอยู่ในสภาพพร้อมจะใช้งานบางอย่างได้แกะเก็บบรรจุกล่องกระดาษหรือลังไม้อยู่ในลักษณะคล้ายกับเตรียมจะโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ทุกเวลาแม้สภาพห้องนอนตามภาพถ่ายหมาย ล.15 ก็มีฝุ่นละอองปกคลุมเห็นได้ชัดเจน ที่นอนขาดสกปรก ไม่มีสภาพเป็นที่อยู่อาศัยของบุคคลหนึ่งบุคคลใดเลย คงมีลักษณะเสมือนเป็นที่เก็บสิ่งของเท่านั้น โจทก์ ภริยาโจทก์ และบุตรโจทก์ก็เป็นคนในครัวเรือนเดียวกันต้องทราบถึงสภาวะการณ์ดังกล่าวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เหตุนี้เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าแก่เจ้าของเดิม บุตรสาวโจทก์ได้ทำบันทึกข้อตกลงยอมชำระค่าเช่าที่ค้างชำระนั้นและจะชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนต่อ ๆ ไป ถ้าผิดข้อตกลงยอมให้เจ้าของเดิมเข้าครอบครองตึกแถวที่เกิดเหตุได้ ฝ่ายโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองอยู่อาศัยหรือใช้สอยประโยชน์ในตึกแถวที่เกิดเหตุอีกต่อไปไม่ปรากฏว่าโจทก์คัดค้านโต้แย้งข้อตกลงนี้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์โดยไม่พักต้องคำนึงว่ามีหนังสือมอบอำนาจจากโจทก์ให้บุตรสาวโจทก์ทำบันทึกข้อตกลงนั้นหรือไม่ และข้อตกลงดังกล่าวนี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงใช้บังคับได้ ดังนั้น เมื่อต่อมาบุตรสาวโจทก์และโจทก์ผิดข้อตกลงไม่ชำระค่าเช่าให้แก่เจ้าของเดิมหรือจำเลยทั้งสองผู้รับโอนตึกแถวที่เกิดเหตุ เจ้าของเดิมและจำเลยทั้งสองจึงยกเลิกข้อตกลงพร้อมกับมีหนังสือแจ้งให้โจทก์และบุตรสาวโจทก์ทราบแล้วโดยบุตรสาวโจทก์เป็นผู้รับหนังสือไว้ นับแต่บัดนั้นโจทก์และครอบครัวย่อมไม่มีสิทธิที่จะครอบครองหรืออยู่อาศัยหรือใช้สอยประโยชน์ในตึกแถวที่เกิดเหตุอีกต่อไป และจำเลยทั้งสองชอบที่จะเข้าครอบครองตึกแถวที่เกิดเหตุได้ตามข้อตกลงแต่กระนั้นจำเลยทั้งสองยังให้โอกาสแก่ฝ่ายโจทก์โดยบุตรสาวและภริยาของโจทก์ได้ทำบันทึกขอเวลาขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวที่เกิดเหตุภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2535 โดยเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวที่เกิดเหตุไม่ติดใจเรียกร้องเอาค่าเช่าที่ค้างชำระแต่อย่างใด แต่ในที่สุดโจทก์และครอบครัวก็มิได้ขนย้ายออกไปจากตึกแถวที่เกิดเหตุ เช่นนี้ การที่จำเลยทั้งสองให้ช่างเปิดกุญแจตึกแถวที่เกิดเหตุออก ต่อหน้าเจ้าพนักงานตำรวจรู้เห็นเป็นพยานและภริยาของโจทก์ก็อยู่รู้เห็นด้วยตามภาพถ่ายหมาย ล.6 แล้วจำเลยทั้งสองเข้าไปในตึกแถว ถ่ายรูปบรรดาทรัพย์สินสิ่งของของโจทก์ไว้ หลังจากนั้นจึงใช้กุญแจของจำเลยปิดตึกแถวที่เกิดเหตุไว้ ก่อนที่จะมีการขนย้ายทรัพย์ดังกล่าวออกไปในวันต่อมา และไม่ว่าการเปิดนั้นจะใช้กุญแจไขเปิดหรืองัดกุญแจของโจทก์ออกก็ตาม ย่อมเป็นอำนาจของจำเลยทั้งสองที่จะกระทำได้และต้องถือว่าจำเลยทั้งสองได้ใช้สิทธิเข้ายึดถือครอบครองตึกแถวที่เกิดเหตุแล้วโดยชอบตามที่ได้ตกลงกันไว้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงหาเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ หรือฐานบุกรุกตามที่โจทก์ฟ้องไม่”
พิพากษายืน