คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9467/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 มิใช่เป็นบทบังคับเด็ดขาดเปลี่ยนแปลงไม่ได้เสียเลย การที่ผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตนให้รับผิดในหนี้ที่ขาดอายุความเรียกร้องจากลูกหนี้แล้วจึงอาจกระทำได้ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และมิใช่เป็นการงดใช้หรือขยายอายุความตามมาตรา 193/11 การที่จำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกันตกลงกับโจทก์ว่า ถ้าผู้กู้ตายเกิน 1 ปี ผู้ค้ำประกันยอมชำระหนี้แทนจนครบถ้วน ซึ่งมีความหมายว่าเป็นกรณีที่ผู้ค้ำประกันตกลงจะไม่ยกอายุความของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้ มิใช่เป็นกรณีที่ผู้ค้ำประกันตกลงจะไม่ยกอายุความของผู้ค้ำประกันเองขึ้นเป็นข้อต่อสู้ อันจะถือได้ว่าผู้ค้ำประกันสละประโยชน์แห่งอายุความของผู้ค้ำประกันไว้ก่อนตามมาตรา 193/24 จึงมีผลบังคับกันได้ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2533 นายดาบตำรวจเริงศักดิ์หัตถสาร กู้ยืมเงินโจทก์ จำนวน 30,000 บาท ตกลงชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15.5 ต่อปี โดยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละไม่น้อยกว่า 1,065 บาท เริ่มงวดแรกเดือนพฤศจิกายน 2533 กำหนดชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2536 หากผิดนัดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดและยอมให้ฟ้องเรียกหนี้ทั้งหมดคืนได้ทันทีเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ในวันเดียวกันจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับนายดาบตำรวจเริงศักดิ์ ภายหลังทำสัญญานายดาบตำรวจเริงศักดิ์ชำระหนี้ไม่ถูกต้องโดยชำระดอกเบี้ยเพียงถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2538หลังจากนั้นมิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีกเลย คิดถึงวันฟ้องนายดาบตำรวจเริงศักดิ์ค้างชำระต้นเงินโจทก์อยู่จำนวน 7,590.42 บาท ดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวน6,378.03 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 13,968.45 บาท เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม2537 นายดาบตำรวจเริงศักดิ์ถึงแก่ความตาย แต่โจทก์เพิ่งทราบถึงการตายเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2543 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายในฐานะทายาทโดยธรรมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันต้องร่วมกันรับผิดชำระให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 13,968.45บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 7,590.42 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ได้ทราบเรื่องการตายของนายดาบตำรวจเริงศักดิ์นานแล้วตั้งแต่ปี 2538 เนื่องจากโจทก์เคยติดตามทวงถามให้จำเลยที่ 2ชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว ต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามมายังทายาทของนายดาบตำรวจเริงศักดิ์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2538 โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของนายดาบตำรวจเริงศักดิ์ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 13,968.45 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 7,590.42 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์เพียงประเด็นเดียวว่า สัญญาค้ำประกันที่มีข้อความว่าถ้าผู้กู้ตายเกินกว่า 1 ปี ผู้ค้ำประกันก็ยอมชำระหนี้แทนจนครบถ้วนนั้นมีผลใช้บังคับหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 698 จะบัญญัติให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในขณะเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับสิ้นไปไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาความในมาตรา 681 ประกอบด้วยแล้วจะเห็นได้ว่าแม้หนี้ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเพราะทำด้วยความสำคัญผิดหรือเป็นผู้ไร้ความสามารถก็อาจมีการค้ำประกันอย่างสมบูรณ์ได้หากผู้ค้ำประกันรู้ถึงเหตุสำคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้น กรณีจึงถือไม่ได้ว่า บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 เป็นบทบังคับเด็ดขาดเปลี่ยนแปลงไม่ได้เสียเลย และเห็นว่าในกรณีที่ผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตนให้รับผิดในหนี้ที่ขาดอายุความเรียกร้องจากลูกหนี้แล้วจึงอาจกระทำได้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและมิใช่เป็นการงดใช้หรือขยายอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/11 แต่อย่างใดดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันตกลงกับโจทก์ว่า ถ้าผู้กู้ตายเกิน 1 ปี ผู้ค้ำประกันยอมชำระหนี้แทนจนครบถ้วนซึ่งมีความหมายว่าเป็นกรณีที่ผู้ค้ำประกันตกลงจะไม่ยกอายุความของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้ หาใช่เป็นกรณีที่ผู้ค้ำประกันตกลงจะไม่ยกอายุความของผู้ค้ำประกันเองขึ้นเป็นข้อต่อสู้ อันจะถือได้ว่าเป็นกรณีที่ผู้ค้ำประกันสละประโยชน์แห่งอายุความของผู้ค้ำประกันไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 แต่อย่างใดไม่ ข้อตกลงตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงมีผลบังคับกันได้ตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share