แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้เดิมที่พิพาทจะเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่โจทก์ฟ้องว่าได้มีการแบ่งแยกกันเป็นส่วนสัด และโจทก์แต่ละคนต่างครอบครองมากว่าสิบปีแล้ว คำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้พิพากษาให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ครอบครองกันมา ส่วนคำขอที่ขอให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ก็ต้องถือว่าโจทก์แต่ละคนขอให้เพิกถอนนิติกรรมในส่วนที่ดินของตนซึ่งตามรูปคดีโจทก์แต่ละคนอาจฟ้องตามส่วนของตนโดยลำพังได้ แม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์พิพาทของโจทก์แต่ละคนเมื่อปรากฏว่าทุนทรัพย์พิพาทของโจทก์แต่ละคนไม่เกิน 5,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คู่ความจึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมยกให้ส่วนของจำเลยที่ ๑ ในโฉนดที่ ๑๑๖๑๒ ระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้โจทก์ทุกคนและจำเลยที่ ๑ มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามส่วนที่ครอบครองกันมา กับให้จำเลยที่ ๑ จัดการลงชื่อโจทก์ในโฉนดดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การสู้คดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินแปลงหมาย ๑, ๒, ๓, ๔ และ ๕ (รวมทั้งที่พิพาท) ตามแผนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ตามลำดับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ให้จำเลยที่ ๑ ลงชื่อโจทก์ทั้งสี่ในโฉนดเลขที่ ๑๑๖๑๒ ตามส่วนที่โจทก์ครอบครองมา หากจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาและให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เฉพาะที่เกี่ยวกับที่พิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้เดิมที่พิพาทจะเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่โจทก์ฟ้องว่าได้มีการแบ่งแยกกันเป็นส่วนสัด และโจทก์แต่ละคนต่างครอบครองมากว่าสิบปีแล้ว คำขอท้ายฟ้อง โจทก์ขอให้พิพากษาให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ครอบครองกันมา ส่วนคำขอที่ขอให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ก็ต้องถือว่าโจทก์แต่ละคนขอให้เพิกถอนนิติกรรมในส่วนที่ดินของตน ซึ่งตามรูปคดี โจทก์แต่ละคนอาจฟ้องตามส่วนของตนโดยลำพังได้ แต่แม้จะฟ้องรวมกันมา ก็ต้องถือทุนทรัพย์พิพาทของโจทก์แต่ละคน เมื่อปรากฏว่าทุนทรัพย์พิพาทของโจทก์แต่ละคนไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คู่ความจึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลยทั้งสอง