คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยใช้มีดปังตอฟันโจทก์ร่วมที่ 1 ถูกที่หน้าผากด้านขวาได้รับบาดเจ็บสาหัสจำเลยจะฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2ซึ่งเป็นภรรยาของโจทก์ร่วมที่ 1 วิ่งเข้ามาขวางไว้จึงถูกจำเลยฟันที่ศีรษะ จำเลยจะฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 ยกมือขึ้นรับจึงถูกฟันที่นิ้วมือเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 2ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะ จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 และมาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามป.อ. มาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 364,365, 297, 295 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
นายบุญมี สิมมี และนางเชือน สินมี ผู้เสียหายทั้งสองยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 จำคุก 2 เดือน ของกลางริบคำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยใช้มีดปังตอฟันทำร้ายโจทก์ร่วมทั้งสองตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาหรือไม่ หากฟังว่าจำเลยกระทำดังกล่าวจริงข้อเท็จจริงก็ฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยกระทำไปโดยบันดาลโทสะตามที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมาเพราะโจทก์และโจทก์ร่วมมิได้ฎีกาคัดค้านในข้อนี้ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์มีตัวโจทก์ร่วมทั้งสองมาเบิกความยืนยันว่า จำเลยใช้มีดปังตอของกลางฟันโจทก์ร่วมที่ 1 ถูกที่หน้าผาก จำเลยจะเข้าฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 เข้าไปขวางไว้ โจทก์ร่วมที่ 2 จึงถูกจำเลยฟันที่ศีรษะจำเลยฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 เอามือรับไว้จึงถูกฟันที่นิ้วมือนอกจากนี้ยังได้ความจากนายฉอ้อน คุ้มภัย พยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่าพยานได้เห็นชายคนหนึ่งใช้มีดฟันโจทก์ร่วมทั้งสองในขณะเกิดเหตุด้วยเพียงแต่พยานปากนี้ไม่แน่ใจว่าคนที่ใช้มีดฟันโจทก์ร่วมทั้งสองคือจำเลยหรือไม่เท่านั้น สำหรับนายสุชาติ สิมมี บุตรชายโจทก์ร่วมทั้งสองมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าพยานเห็นเหตุการณ์ตอนที่จำเลยกำลังใช้มีดฟันศีรษะโจทก์ร่วมที่ 2 จำเลยฟันซ้ำโจทก์ร่วมที่ 2 เอามือรับมีดหลุดจากมือ ตามคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจณรงค์ สุวรรณเขตร์และจ่าสิบตำรวจสาโรจน์ กลิ่นช้าง พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จับกุมจำเลยได้ความว่าเมื่อพยานทั้งสองไปถึงที่เกิดเหตุ โจทก์ร่วมที่ 2 นำมีดปังตอของกลางมามอบให้พยานแล้วระบุว่าจำเลยเป็นผู้ใช้มีดดังกล่าวฟันโจทก์ร่วมทั้งสอง ตามรายงานความเห็นการตรวจชันสูตรบาดแผลของโจทก์ทั้งสอง เอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 นั้น ปรากฎว่าโจทก์ร่วมที่ 1มีบาดแผลที่หน้าผากแถบขวายาว 5 เซนติเมตร โลหิตไหล กะโหลกแตกร้าวส่วนโจทก์ร่วมที่ 2 มีบาดแผลที่ศีรษะด้านข้างแถบซ้ายยาว 2 เซนติเมตรโลหิตไหลและที่ระหว่างนิ้วนางกับนิ้วก้อยมือซ้ายยาว 4 เซนติเมตรโลหิตไหล สันนิษฐานว่าถูกของแข็งมีคม สำหรับโจทก์ร่วมที่ 1 จะต้องรักษาตัว 30 วัน โจทก์ร่วมที่ 2 จะต้องรักษาตัว 8 วัน นายแพทย์มานิตย์ ศรีปราโมทย์ ผู้รักษาบาดแผลของโจทก์ทั้งสองก็มาเบิกความรับรองรายงานดังกล่าว และยังเบิกความว่าจนกระทั่งวันที่ 24 ตุลาคม2526 ซึ่งเป็นเวลาหลังเกิดเหตุถึงเกือบ 4 เดือน บาดแผลของโจทก์ร่วมที่ 1 ก็ยังไม่หายดีเกิดการอักเสบ โจทก์ร่วมที่ 1 ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีก 4 วัน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยใช้มีดปังตอฟันทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมทั้งสองเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 1 ได้รับบาดเจ็บสาหัสและโจทก์ร่วมที่ 2ได้รับบาดเจ็บ พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ สำหรับโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เหมาะสมแก่รูปคดีแล้วไม่มีเหตุที่จะกำหนดโทษให้เบาลงหรือรอการลงโทษให้จำเลยตามที่จำเลยฎีกาแต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 โดยไม่ระบุว่าให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ชัดเจน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา295, 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทจึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share