คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2550/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามระเบียบของอธิบดีกรมทางหลวงจำเลยที่ 2 มีว่าการขุดถนนจะต้องปักป้ายบอกว่าบริเวณนั้นมีการขุดถนน ตลอดจนมีสัญญาณต่าง ๆ แสดงให้ผู้สัญจรไปมาทราบ ทั้งในเวลากลางคืนต้องมีโคมไฟติดไว้เพื่อให้รถที่ขับขี่ไปมารู้การที่จำเลยที่ 2 ขุดถนนเพื่อวางท่อโดยจำเลยที่ 1 เป็นนายช่างควบคุมแล้วละเลยไม่ติดตั้งโคมไฟจึงเป็นความประมาท แม้ว่าทางนั้นจะยังไม่เปิดเป็นทางสาธารณะและมีป้ายเตือนผู้ใช้ทางแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีป้ายห้ามเข้าและมีรถแล่นอยู่ตลอดเวลาดังนี้เมื่อ ส. ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปตกคูที่จำเลยขุดไว้ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องสองสำนวนมีใจความว่าโจทก์เป็นภริยาของนายสันต์และเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ จำเลยที่ ๑ เป็นช่างผู้ควบคุมการทำงานวางท่อระบายน้ำถนนสาย สา – น้ำมวบ และอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของอธิบดีกรมทางหลวงจำเลยที่ ๒ จำเลยขุดถนนเพื่อวางท่อระบายน้ำโดยประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและระเบียบของจำเลยที่ ๒ ไม่วางสิ่งกีดขวางหรือสิ่งบอกเหตุไว้ข้างหน้าบริเวณถนนที่ขุด ไม่ติดตั้งโคมไฟหรือวัตถุสะท้อนแสงไว้ในเวลากลางคืน ทำให้นายสันต์ขับขี่รถจักรยานยนต์ของโจทก์ตกลงไปในคูที่ขุดไว้ รถจักรยานยนต์เสียหาย นายสันต์ถึงแก่ความตาย โจทก์ซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ได้รับอันตรายสาหัส ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดมช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์คือ ค่าปลงศพ ทำบุญศพ ๑๐๐ วัน ค่าซ่อมรถจักนยานยนต์ ค่าขาดไร้อุปการะ รวมค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงิน ๒๔๙,๕๐๐ บาท และโจทก์เสียค่ารักษาพยาบาลค่าพาหนะ ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายของโจทก์และญาติผู้ดูแลโจทก์ที่โรงพยาบาลค่าเสียหายแก่ร่างกายและสูญเสียสุขภาพประกอบการงานไม่ได้เหมือนบุคคลอื่นและสุขภาพจิตเสื่อม รวมค่าเสียหายส่วนนี้๕๒,๕๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ๓๐๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ถนนที่เกิดเหตุอยู่ในระหว่างการก่อสร้างระยะแรกพึ่งจะไถแนวทางดิน มิได้เป็นทางหลวงหรือทางสาธารณะที่เปิดให้ประชาชนใช้ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีหน้าที่จะต้องจัดทำเครื่องหมายการจราจร การขุดพื้นที่เพื่อวางท่อจึงไม่มีเหตุต้องแจ้งให้ประชาชนทราบ ปากทางเข้าที่เกิดเหตุทั้งสองด้านติดป้ายระบุว่า ทางอยู่ในระหว่างก่อสร้างยังไม่เปิดเป็นทางสาธารณะ ผู้ใช้ทางโปรดใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ จำเลยที่ ๑ และคนงานได้ขุดทางตรงที่เกิดเหตุเพื่อวางท่อระบายน้ำเสร็จแล้วได้กองดินที่ขุดขึ้นมาเป็นแนวสูงเห็นได้ง่าย และนำหินขนาดใหญ่วางเรียงปิดทางทั้งสองด้านห่างร่องที่ขุดประมาณ ๑๕ เมตร เป็นที่สังเกตได้ง่ายและสามารถหยุดยานพาหนะได้ทัน ทางเบี่ยงที่ทำไว้ให้ผู้ใช้ทางอ้อมผ่านร่องที่ขุดก็เห็นได้ง่าย เหตุเกิดเพราะความประมาทของนายสันต์ที่ใช้ความเร็วสูงมาก ค่าเสียหายสูงเกินความจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองในสำนวนคดีแรกและยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ในสำนวนคดีหลัง ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน ๕๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์สำนวนแรกและจำเลยที่ ๒ สำนวนหลังอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำนวนแรกให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๑๒๓,๔๕๐ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย สำนวนหลังให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงิน ๕๑,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ระหว่างเกิดเหตุคดีนี้กรมทางหลวงเข้าไปก่อสร้างทางสาย สา – น้ำมวบ ซึ่งยังมิได้เปิดเป็นทางการ แต่ยานพาหนะผ่านไปมาได้ มีนายศุลผลเป็นหัวหน้าสร้างทาง จำเลยที่ ๑ เป็นช่างควบคุมการวางท่อเช้าวันเกิดเหตุ นายสันต์ ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามีโจทก์ซึ่งเป็นภริยาผู้ตายนั่งซ้อนท้ายไปด้วย ทั้งสองคนเดินทางผ่านจุดที่เกิดเหตุซึ่งยังไม่มีการขุดถนนไปที่วัดศรีมงคล อำเภอสา ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ ๒๖ กิโลเมตร ต่อมาได้มีการขุดถนนบริเวณกิโลเมตรที่ ๑๕ – ๗๐๐ เป็นร่องขวางถนนลึก ๒.๕ เมตร กว้าง ๓.๕ เมตร เพื่อวางท่อระบายน้ำและทำทางเบี่ยงให้รถแล่นอยู่ทางทิศเหนือของถนน ผู้ตายกับโจทก์เดินทางกลับจากวัดศรีมงคลเมื่อเวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา เมื่อมาถึงบริเวณที่ถนนถูกขุดเป็นร่อง ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ตกลงไปในร่องขวางถนนนั้น รถจักรยานยนต์เสียหาย ผู้ตายกับโจทก์กระเด็นจากรถผู้ตายกะโหลกศีรษะยุบถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาส่วนโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางสาย สา – น้ำมวบ ไม่มีป้ายห้ามเข้านายสุทัศน์พยานจำเลยว่ามีรถประจำทางและรถอื่น ๆ แล่นอยู่ตลอดเวลา ปกติแล้วการขุดถนนจะต้องใช้หินหรือทำสัญญาณเอาไว้ เวลากลางคืนจะต้องมีโคมไฟให้สัญญาณด้วย จำเลยที่ ๑ เองก็เบิกความเช่นเดียวกับนายศุภผลว่า มีระเบียบของกรมทางหลวงว่า ในกรณีที่มีการขุดถนนจะต้องมีการปักป้ายบอกว่าบริเวณนั้นมีการขุดถนนตลอดจนมีสัญญาณต่าง ๆ แสดงให้ผู้สัญจรไปมารู้ว่าบริเวณนั้นขุดถนนด้วย ทั้งกลางคืนต้องมีโคมไฟติดไว้เพื่อให้รถที่ขับไปมารู้ด้วย ในจุดอื่น ๆ ที่มีการขุดถนนก็มีการปักป้ายและติดโคมไฟแต่จุดที่เกิดเหตุไม่มี จำเลยที่ ๑ ว่า เข้าใจว่ามีไม่พอจึงไม่ได้มาติดตั้งไว้และปรากฏตามรายงานประจำวันสถานีตำรวจภูธรอำเภอสาว่า พนักงานสอบสวนไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ไม่พบสิ่งกีดขวางหรือสิ่งบอกเหตุวางไว้บนถนนก่อนจะถึงที่ขุดออกแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ ๑ ละเลยไม่ติดตั้งโคมไฟบริเวณที่ขุดถนนทั้ง ๆ ที่มีระเบียบให้ปฏิบัติจึงเป็นความประมาทของจำเลยที่ ๑
พิพากษายืน.

Share