แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 ก็บัญญัติว่า เอกสารมหาชนซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นหรือรับรอง หรือสำเนาอันรับรองถูกต้องแห่งเอกสารนั้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร ที่ดินตามโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดิน และโฉนดที่ดินกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นเอกสารมหาชน จึงได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เมื่อโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างและนำสืบว่า โฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงต้องมีภาระพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานตามข้อกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และหรือจำเลยที่ 4 เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 29099 เลขที่ดิน 67 โฉนดที่ดินเลขที่ 28742 เลขที่ดิน 70 โฉนดที่ดินเลขที่ 28743 เลขที่ดิน 71 และ น.ส. 3 ก.เลขที่ 490 ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เฉพาะส่วนที่ออกทับที่ดินพิพาทหรือทั้งแปลงกรณีที่ออกเอกสารสิทธิทับที่ดินพิพาททั้งแปลงหากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสี่ โดยกำหนด ค่าทนายความให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำนวน 15,000 บาท และจำเลยที่ 4 จำนวน 5,000 บาท
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสี่ โดยกำหนดค่าทนายความให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำนวน 15,000 บาท จำเลยที่ 4 จำนวน 5,000 บาท
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 29099 ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 28 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 28742 และ 28743 ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 45 ตารางวา และ 21 ไร่ 2 งาน 42 ตารางวา ตามลำดับ และจำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 490 ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 7 ไร่ 30 ตารางวา ตามโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรของนายโป๋ กับนางพัด ปัจจุบันนี้นายโป๋กับนางพัดถึงแก่ความตายไปแล้ว ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 36 ไร่ 44 ตารางวา ตามเส้นกรอบสีดำน้ำเงินในแผนที่พิพาท ซึ่งมีส่วนทับที่ดินโฉนดเลขที่ 29099, 28742 และ 28743 กับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 490 พนักงานอัยการเคยเป็นโจทก์ และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นโจทก์ร่วมฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ บุกรุก ละเมิด ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 4687/2555 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 1524/2556 คดีถึงที่สุดแล้ว
คดีมีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิให้จำเลยที่ 4 เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 29099, 28742 และ 28743 ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 490 ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เฉพาะส่วนที่ดินพิพาทเนื้อที่ 36 ไร่ 44 ตารางวา ตามเส้นกรอบสีดำน้ำเงินในแผนที่พิพาท หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 ก็บัญญัติว่า เอกสารมหาชนซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นหรือรับรอง หรือสำเนาอันรับรองถูกต้องแห่งเอกสารนั้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร ที่ดินตามโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดิน และโฉนดที่ดินกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นเอกสารมหาชน จึงได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เมื่อโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างและนำสืบว่า โฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงต้องมีภาระพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานตามข้อกฎหมายดังกล่าว หาใช่ว่าข้อสันนิษฐานดังกล่าวหมดไปแล้วไม่ ซึ่งโจทก์ทั้งสองนำสืบแต่เพียงว่า นายโป๋และนางพัดบิดามารดาโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2490 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่เคยแย่งการครอบครองไปจากนายโป๋และนางพัดกับโจทก์ทั้งสอง และการออกโฉนดที่ดินกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่พยานโจทก์เองเบิกความให้เห็นว่า นายโป๋เคยครอบครองที่ดินพิพาทแต่ในอดีต ก่อนถึงแก่ความตายในปี 2542 นายโป๋ก็มิได้ครอบครองที่ดินพิพาทและปัจจุบันโจทก์ทั้งสองก็มิได้ครอบครองที่ดินพิพาท ทั้งนางลัดดาวัลย์ นักวิชาการที่ดินชำนาญการ พยานโจทก์ทั้งสองเองก็เบิกความยืนยันว่า การออกโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องเป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่ใช่การเบิกความถึงข้อกฎหมายอย่างเดียว แต่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงด้วยว่า การออกโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องเป็นการออกโดยชอบถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งฝ่ายโจทก์เองซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตามฟ้องก็ไม่เคยโต้แย้งการออกโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องเลย ปัจจุบันโจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท และไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินพิพาท การนำสืบของโจทก์เป็นเพียงการเบิกความลอย ๆ ปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน ส่วนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่เพียงแต่ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามกฎหมายดังกล่าวเท่านั้นยังนำสืบให้เห็นถึงความเป็นมาของโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องให้เห็นว่า นางนิดา มารดาของจำเลยทั้งสามเป็นผู้ซื้อที่ดินตามโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาจากผู้อื่น แล้วยกให้จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นบุตร มิใช่เป็นผู้ขอออกเอกสารสิทธิตามฟ้องเอง ข้อนำสืบของโจทก์ทั้งสองไม่มีน้ำหนักพอฟังหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมายดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 29099 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 28742 และ 28743 และจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 490 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ