แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ออกคำบังคับ โดยอาศัยสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคหนึ่ง ซึ่งหากมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า เมื่อศาลเห็นสมควรย่อมมีอำนาจสั่งให้จำเลยวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคห้า แม้ในเบื้องต้นศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยไปก่อน โดยไม่มีการสั่งให้จำเลยวางเงินเพื่อประกันการชำระค่าสินไหมทดแทน แต่เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นได้เกษียณสั่งในอุทธรณ์ของจำเลยให้วางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทน ซึ่งเป็นกรณีสืบเนื่องจากคำร้องของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนคำบังคับหรือคำสั่งศาลในชั้นบังคับคดี อันเป็นการสั่งโดยอาศัยอำนาจตามบทกฎหมายข้างต้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยวางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนนั้นย่อมเป็นที่สุด ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 2,901,125.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงินกู้ 1,595,795.12 บาท และต้นเงินค่าเบี้ยประกันภัย 35,560.08 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน หากผิดนัดจำเลยยินยอมให้โจทก์บังคับคดีที่ดินโฉนดเลขที่ 40368 ตำบลเมืองปัก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งในวันที่ 15 สิงหาคม 2547 โจทก์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้ในราคา 1,020,000 บาท แล้วโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจากเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อมาวันที่ 23 กันยายน 2548 ผู้ร้องซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจากโจทก์ หลังจากนั้นผู้ร้องยื่นคำขอให้ศาลออกคำบังคับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2548 มีใจความว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ออกคำบังคับดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นและระงับการออกคำบังคับ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า คำสั่งศาลและคำบังคับของศาลชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้จำเลยวางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 50,000 บาท ภายใน 15 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน และให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่21 พฤศจิกายน 2548 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ออกคำบังคับอันถือได้ว่าเป็นการยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำบังคับหรือคำสั่งศาลในชั้นบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคหนึ่ง หากมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า เมื่อศาลเห็นสมควรย่อมมีอำนาจสั่งให้จำเลยวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนด เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ถ้าผู้ยื่นคำร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องคำสั่งของศาลให้เป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า แม้ในเบื้องต้นศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยไปก่อนโดยไม่มีการสั่งให้จำเลยวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทน แต่เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นได้เกษียณสั่งในอุทธรณ์ของจำเลยให้วางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทน จำนวน 50,000 บาท ซึ่งเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากคำร้องของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนคำบังคับหรือคำสั่งศาลในชั้นบังคับคดี อันเป็นการสั่งโดยอาศัยอำนาจในบทมาตราดังกล่าว คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยวางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนนั้นย่อมเป็นที่สุดตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยมานั้นเป็นการไม่ชอบ และไม่ก่อสิทธิแก่จำเลยในการที่จะฎีกาต่อมาอีก
พิพากษายกอุทธรณ์และฎีกาของจำเลย ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ