คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าอาวาสมีอำนาจมอบฉันทะให้ไวยาวัจกร ฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกที่ธรณีสงฆ์ของวัดได้ ตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2484 มาตรา 43
วัดเป็นนิติบุคคลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา72 มีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดาตาม มาตรา 70 และ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2484 มาตรา 40 วัดก็ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้และวัดอาจได้ที่ดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1382(อ้างฎีกา 1253/2481)
วัดฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ธรณีสงฆ์ข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่านายอำเภอและชาวบ้านได้เอาที่รกร้างว่างเปล่านั้นถวายวัดเพื่อทำเป็นป่าช้า แล้วนายอำเภอกับพวกได้เอาป่าช้าเดิมของวัดปลูกที่ว่าการอำเภอ โรงเรียน ตลาดดั่งนี้ คดีไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยถึงว่า นายอำเภอเอาที่ป่าช้าของวัดไปสร้างที่ว่าการอำเภอนั้นจะเป็นการชอบหรือไม่และการที่นายอำเภอเอาที่พิพาทไปถวายวัดนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนที่ชอบหรือไม่

ย่อยาว

คดี 2 สำนวนศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน ข้อเท็จจริงได้ความว่าที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่มีเจ้าของหวงห้าม เมื่อ พ.ศ. 2471 นายอำเภอโคกสำโรงพร้อมด้วยชาวบ้าน ได้นำที่ดินแปลงนี้ไปถวายแก่เจ้าอาวาสวัดสิงห์คูยาง เพื่อใช้เป็นป่าช้าแทนป่าช้าเดิมซึ่งนายอำเภอโคกสำโรงใช้ปลูกเป็นที่ว่าการอำเภอ โรงเรียนและตลาด ชาวบ้านต่างได้นำศพไปเผาและฝังในที่พิพาทตลอดมา ใน พ.ศ. 2481 ทางราชการตัดถนนผ่านที่พิพาทและทางการได้สั่งห้ามชาวบ้านไม่ให้ใช้ที่พิพาทเป็นที่เผาและฝังศพต่อไป ต่อมาจำเลยจึงได้บุกรุกที่พิพาทและโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้คือ

สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่าวัดสิงห์คูยางมีที่ธรณีสงฆ์ 1 แปลงจำเลยที่ 2ได้เข้าบุกรุกและจัดทำผลประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้ขอให้ขับไล่

จำเลยที่ 1-2-4 ต่อสู้ว่าเป็นที่ดินของจำเลยและตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 3 รับว่าเป็นที่ดินของโจทก์

สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้เอาที่ดินของโจทก์ส่วนที่จำเลยครอบครองไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 จึงขอให้ศาลทำลายสัญญาซื้อขายและขับไล่จำเลย

จำเลยให้การว่า ที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 รับซื้อไว้โดยชอบด้วยกฎหมายและมีค่าตอบแทน

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ เว้นแต่นายรุนจำเลยที่ 3 ให้ขับไล่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 43บัญญัติให้เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาและจัดการวัดและสมบัติของวัดให้เป็นไปโดยระเบียบเรียบร้อย ฯลฯ ดังนั้น เมื่อมีผู้บุกรุกที่ธรณีสงฆ์อันเป็นสมบัติของวัดสิงห์คูยาง ซึ่งพระภิกษุบุญตาเป็นเจ้าอาวาส จึงมีอำนาจที่จะมอบให้ไวยาวัจกรของวัดฟ้องความแทนได้ข้อตัดฟ้องของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ศาลฎีกาเห็นต่อไปว่าวัดสิงห์คูยางเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72 มีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดาตาม มาตรา 70 และตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 40 วัดถือกรรมสิทธิ์ได้ และวัดอาจได้ที่ดินตาม มาตรา 1382 ฉะนั้นวัดสิงห์คูยางโจทก์อาจได้ที่ดินเป็นที่ธรณีสงฆ์โดยทางยึดถือครอบครองเหมือนบุคคลธรรมดาเหมือนกัน วัดสิงห์คูยางครอบครองที่พิพาทนี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2471 ซึ่งนายอำเภอโคกสำโรงกับพวกนำไปถวายวัด ที่พิพาทจึงกลายเป็นสมบัติของวัดสิงห์คูยางเรียกว่าที่ธรณีสงฆ์ตั้งแต่นั้นมา ผู้ใดจะอ้างอายุความได้สิทธิมายันวัดหาได้ไม่ คดีไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่า การที่นายอำเภอเอาที่ป่าช้าของวัดไปสร้างที่ว่าการอำเภอนั้นจะเป็นการชอบหรือไม่ และการที่นายอำเภอเอาที่พิพาทไปถวายวัดนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนที่ชอบหรือไม่

พิพากษากลับว่า ที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดสิงห์คูยางโจทก์ให้ขับไล่จำเลยและทำลายนิติกรรมการซื้อขายระหว่างนางค้ำชูและนายเทียนจำเลย และห้ามจำเลยทุกคนเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทต่อไป

Share