คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้การสมรสระหว่างล. เจ้ามรดกกับผู้คัดค้านเป็นการสมรสซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 เป็นโมฆะตามมาตรา 1496 ถือเท่ากับไม่มีการสมรส ผู้คัดค้านจึงไม่ใช่ภรรยาของล. ก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1495 เดิม นั้น การสมรสแม้จะไม่ถูกต้องประการใด ก็ยังไม่เป็นโมฆะ นอกจากศาลได้พิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะ เมื่อยังไม่มีฝ่ายใดฟ้องให้การสมรสระหว่างล. กับผู้คัดค้านเป็นโมฆะและยังไม่มีคำพิพากษาเช่นนั้น จึงต้องถือว่าการสมรสระหว่าง ล.กับผู้คัดค้านยังมีอยู่ ผู้คัดค้านจึงเป็นทายาทโดยธรรมและมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก การที่ผู้คัดค้านเคยมีสามีมาก่อน ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการมรดก ส่วนการที่ผู้คัดค้านอ้างว่าเด็กชายธ.เป็นบุตรของล.กับผู้คัดค้านนั้น แม้ไม่ถูกต้องก็เป็นการอ้างไปตามบันทึกในทะเบียนสมรส ซึ่งล.กับผู้คัดค้านแจ้งไว้ กรณีดังกล่าวยังไม่ถึงขนาดให้ผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่เหมาะสมในการเป็นผู้จัดการมรดก

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นบุตรนายเหลือ พ้นภัยพาลนายเหลือถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมแต่งตั้งผู้จัดการมรดกไว้ ผู้ตายมีทรัพย์มรดกเป็นที่ดินและบ้าน ผู้ร้องเคยติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อจัดการโอนทรัพย์มรดก แต่ไม่อาจจัดการได้ ขอให้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายเหลือผู้ตาย
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเหลือผู้ตาย ผู้ร้องยื่นคำร้องโดยเจตนาทุจริตไม่ได้แจ้งให้ผู้คัดค้านและเด็กชายธีรพงษ์ซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายทราบ ผู้ร้องจึงไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดก ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องและมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนายเหลือผู้ตาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนายเหลือร่วมกัน
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องฎีกาในข้อแรกว่า การที่นายเหลือ(เจ้ามรดก) ทำการสมรสกับผู้คัดค้าน เป็นการสมรสซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 จึงเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1496ถือเท่ากับไม่มีการสมรส ผู้คัดค้านจึงไม่ใช่ภรรยาของนายเหลือนั้นเห็นว่า การสมรสแม้จะไม่ถูกต้องประการใดก็ตาม ก็ยังไม่เป็นโมฆะ นอกจากศาลได้พิพากษาให้การสมรสนั้นเป็นโมฆะ ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1495 เดิมบัญญัติไว้เป็นพิเศษดังนั้นตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ ยังไม่มีฝ่ายใดฟ้องให้การสมรสระหว่างนายเหลือกับผู้คัดค้านเป็นโมฆะ และยังไม่มีคำพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะ จึงต้องถือว่าการสมรสระหว่างนายเหลือกับผู้คัดค้านยังมีอยู่ ผู้คัดค้านจึงเป็นทายาทโดยธรรมและมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกรายนี้
ฎีกาข้อต่อมา ผู้ร้องอ้างว่า ผู้คัดค้านไม่เหมาะสม เพราะเคยมีสามีมาก่อนแล้ว และมีเจตนาไม่สุจริต เห็นว่าการมีสามีมาก่อนหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดการมรดก หรือทำให้การจัดการมรดกไม่เหมาะสมแต่ประการใด ส่วนข้อที่ผู้คัดค้านอ้างว่าเด็กชายธีรพงษ์เป็นบุตรของผู้ตายกับผู้คัดค้านนั้น แม้จะไม่ถูกต้องก็เป็นการอ้างไปตามบันทึกในทะเบียนสมรสซึ่งผู้ตายกับผู้คัดค้านแจ้งไว้ ยังไม่ถึงขนาดที่จะทำให้ผู้คัดค้านไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้อง การร้องคัดค้านเข้ามาก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน ไม่ได้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด
พิพากษายืน

Share