คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน เป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิด มีน้ำหนักน้อย เมื่อคำเบิกความของประจักษ์พยานโจกท์ดังซึ่งจะต้องนำพยานบอกเล่ามาฟังประกอบมีน้ำหนักน้อยเสียแล้ว แม้จะนำคำเบิกความของพยานบอกเล่ามาฟังประกอบก็หาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักแน่นแฟ้นขึ้นไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีน จำนวน 3 หลอด รวมน้ำหนัก 1.31 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยได้จำหน่ายเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวให้แก่นายมิตร ตอหิรัญ และนายกูมูซา หลังจิ จำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 482/2532 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษไปแล้ว โดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 17 กันยายน 2522ข้อ 1(1)
จำเลยให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522ลงวันที่ 17 กันยายน 2522 ข้อ 1 (1) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีนซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 6 ปี
จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยจำหน่ายเฮโรอีนของกลางซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษต้องห้ามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 นั้น ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ซึ่งมีนายมิตร ตอหิรัญ กับนายกูมูซา หลังจิ เบิกความเป็นประจักษ์พยานโจทก์ว่า พยานทั้งสองได้ร่วมกันซื้อเฮโรอีนของกลางมาจากจำเลยที่บ้านของจำเลยเวลาเช้าของวันที่ 22 มีนาคม 2532 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่พยานทั้งสองจะถูกจับในข้อหาความผิดฐานมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองปากนี้แล้ว โจทก์คงมีแต่คำเบิกความของจ่าสิบตำรวจยะฝาด พิธกิจเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจของสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสตูลจังหวัดสตูล กับคำเบิกความของนายรอหนี นาราวัน ชาวบ้านซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้กับบ้านของจำเลยอีกเพียง 2 ปากเท่านั้นที่เบิกความสนับสนุนคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองว่า ที่บ้านของจำเลยเคยมีข่าวว่ามีการลักลอบจำหน่ายเฮโรอีน แต่เมื่อได้พิจารณาถึงสถานภาพของประจักษ์พยานทั้งสองและพยานแวดล้อมดังกล่าวแล้ว เห็นว่าทั้งนายมิตรและนายกูมูซาต่างเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดเกี่ยวกับเฮโรอีนของกลางจำนวนเดียวกันนี้มาตั้งแต่ต้น คำเบิกความของนายมิตรและนายกูมูซาจึงเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันมีน้ำหนักแห่งการรับฟังน้อย ส่วนจ่าสิบตำรวจยะฝาดกับนายรอหนีต่างก็เป็นเพียงพยานบอกเล่า คำเบิกความของพยานทั้งสองรับฟังได้เพียงพยานประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เท่านั้น เมื่อคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ซึ่งจะต้องนำพยานบอกเล่ามาฟังประกอบมีน้ำหนักแห่งการรับฟังน้อยเสียแล้ว แม้จะนำคำเบิกความของพยานบอกเล่าทั้งสองปากดังกล่าวมาฟังประกอบ ก็หาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักแน่นแฟ้นขึ้นไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน

Share