คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำเบิกความของจำเลยและทนายจำเลยถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อจำเลยได้รับหนังสือทวงถามจากทนายโจทก์ จำเลยได้นำหนังสือไปปรึกษากับทนายจำเลย ทนายจำเลยจึงติดต่อกับทนายโจทก์เพื่อเจรจาเรื่องเช็คจำนวนเงิน 200,000 บาท โดยทนายโจทก์ยอมลดค่าเสียหายให้เหลือ 30,000 บาทนั้น แม้จำเลยจะไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ในเรื่องนี้ไว้แต่เป็นเพราะโจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานระบุอ้าง น. ทนายโจทก์ไว้ แต่โจทก์ไม่ประสงค์จะสืบ จำเลยจึงไม่มีโอกาสถามค้านไว้ได้ ส่วนตัวโจทก์เองไม่ได้เป็นพยานผู้รู้เห็นหรือร่วมเจรจา จำเลยจึงไม่ได้ถามค้านไว้ คำเบิกความของจำเลยและทนายจำเลยจึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายเสี่ยวปิง แซ่อึ้ง ได้สลักหลังโอนเช็คผู้ถือที่จำเลยลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายชำระหนี้เงินยืมแก่โจทก์ ซึ่งเป็นเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด (มหาชน) สาขาเยาวราช ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2538 จำนวนเงิน200,000 บาท ที่จำเลยได้ออกให้นายเสี่ยวปิงเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อเครื่องจักรต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน210,644.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า นายเสี่ยวปิงไม่ได้ยืมเงินโจทก์ โจทก์รับโอนเช็คดังกล่าวจากนายเสี่ยวปิงโดยคบคิดกันฉ้อฉลรู้อยู่แล้วว่าเช็คดังกล่าวไม่มีมูลหนี้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2538 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทไว้จากนายเสี่ยวปิงโดยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่ โจทก์เบิกความไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 152/2539 ของศาลแขวงปทุมวันว่า โจทก์ได้มอบเงินจำนวน 200,000 บาท ให้แก่นายเสี่ยวปิงในวันที่ 18กรกฎาคม 2538 หลังจากนั้น 2 ถึง 3 วัน นายเสี่ยวปิงจึงนำเช็คพิพาทมามอบให้โจทก์ แต่นายเสี่ยวปิงเบิกความในคดีอาญาดังกล่าวไว้ว่าได้ขายเครื่องจักรทอผ้าให้จำเลยเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2538 จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้หลังจากได้รับเช็คจากจำเลยมา 2 วัน จึงได้นำมาชำระหนี้ให้โจทก์เป็นการแตกต่างกัน และโจทก์เบิกความไว้ในคดีนี้ว่านายเสี่ยวปิงได้มอบเช็คพิพาทให้โจทก์ภายหลังวันที่ 18 กรกฎาคม 2538ประมาณ 2 ถึง 3 วัน นอกจากนี้ปรากฏตามสำเนาใบตอบรับหนังสือบอกเลิกสัญญาและขอรับเช็คพิพาทคืนว่านายเสี่ยวปิงได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา และขอให้คืนเช็คพิพาทของทนายจำเลยเมื่อวันที่ 19กรกฎาคม 2538 จึงเป็นที่เห็นได้ว่านายเสี่ยวปิงได้โอนเช็คพิพาทให้โจทก์ภายหลังจำเลยบอกเลิกสัญญาซื้อขายและขอเช็คพิพาทคืนแล้ว โจทก์เบิกความว่าโจทก์ประกอบอาชีพผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป นายเสี่ยวปิงรับงานทอเสื้อไหมพรมไปจากโจทก์ได้ค่าแรงเฉลี่ยน้อยสุดเดือนละ 100,000บาท มากสุดประมาณ 300,000 บาทขึ้นไปนับแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2538จนถึงปัจจุบัน โจทก์ได้จ่ายค่าแรงให้แก่นายเสี่ยวปิงไปแล้วหลายแสนบาทโจทก์ได้ให้นายเสี่ยวปิงสลักหลังเช็คไว้ด้วยเพื่อให้นายเสี่ยวปิงรับผิดชอบแต่เมื่อเช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ไม่ได้ทวงถามจากนายเสี่ยวปิงกลับมอบอำนาจให้นายเสี่ยวปิงฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งโดยให้มีอำนาจประนีประนอมยอมความได้ด้วย และไม่ยอมหักกลบลบหนี้เงินตามเช็คกับค่าจ้างที่โจทก์จ่ายให้นายเสี่ยวปิงโดยอ้างว่าผิดหลักการค้ายิ่งกว่านั้นจำเลยและนายสมศักดิ์ สุขศิริวัฒน์ ทนายจำเลยเบิกความว่าเมื่อได้รับหนังสือทวงถามจากทนายโจทก์ จำเลยได้นำหนังสือไปปรึกษากับนายสมศักดิ์ นายสมศักดิ์จึงได้ติดต่อกับทนายโจทก์เพื่อเจรจาเรื่องเช็คทนายโจทก์แจ้งว่าโจทก์ต้องการค่าเสียหาย 50,000 บาท แล้วจะรับมอบเครื่องจักรทอผ้าคืนและคืนเช็คให้ แต่จำเลยจะจ่ายค่าขนย้ายให้เท่านั้นนายสมศักดิ์ได้เจรจากับทนายโจทก์อีกครั้งหนึ่ง โจทก์ยอมลดค่าเสียหายให้เหลือ 30,000 บาท ซึ่งเงื่อนไขของโจทก์นี้ตรงกับข้อเรียกร้องของนายเสี่ยวปิงดังที่เบิกความไว้ในคดีอาญา แม้จำเลยจะไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ในเรื่องนี้ไว้ แต่เป็นเพราะโจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานระบุอ้างนายนิเวส รัตนชัยเจริญ ทนายโจทก์ไว้ แต่ภายหลังโจทก์ไม่ประสงค์จะสืบ จำเลยจึงไม่มีโอกาสถามค้านไว้ได้ ส่วนตัวโจทก์เองไม่ได้เป็นพยานผู้รู้เห็นหรือร่วมกระทำการเจรจาระหว่างทนายโจทก์และนายสมศักดิ์ทนายจำเลยหรือเป็นถ้อยคำของโจทก์เอง จำเลยจึงไม่ได้ถามค้านไว้ คำเบิกความของจำเลยและนายสมศักดิ์ทนายจำเลยจึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 89 ส่วนการจะเชื่อได้เพียงใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พฤติการณ์ต่าง ๆดังกล่าวข้างต้นฟังได้ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทไว้จากนายเสี่ยวปิงโดยคบคิดกันฉ้อฉล โดยรู้อยู่แล้วว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้เนื่องจากจำเลยได้บอกเลิกสัญญาซื้อขายเครื่องจักรทอผ้ากับนายเสี่ยวปิงแล้ว จำเลยจึงยกข้อต่อสู้ที่มีต่อนายเสี่ยวปิงผู้ทรงคนก่อนขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้ทรงเช็คพิพาทได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share